เนื้องอกต่อมใต้สมอง "คุชชิ่ง" มหันตภัยร้าย อันตรายถึงชีวิต

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เนื้องอกต่อมใต้สมอง


โรคเนื้องอกของต่อมใต้สมองผิดปกติ (Acromegaly) เกิดจากความผิดปกติของเนื้องอกที่สร้างฮอร์โมนส่งเสริมการเจริญเติบโตหรือที่เรียกว่าโกรทฮอร์โมน (Growth Homone) มากกว่าคนปกติทั่วไป โดยโรคนี้ปกติจะไม่ค่อยพบบ่อยมากนัก เทียบเป็นอัตราส่วน 1 ต่อหลายแสนคน หรือ พบได้ 10%-25% ของเนื้องอกในสมองทั้งหมด
แต่สำหรับในประเทศไทยนั้นพบจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากระบบการแพทย์ของไทยในปัจจุบันดีขึ้นกว่าในอดีตมาก มีการร่วมมือกันระหว่างแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อ และแพทย์ระบบทางเดินทางประสาทในการวินิจฉัยและรักษา ทำให้ค้นพบผู้ที่เป็นโรคนี้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และล่าสุดทาง ผศ.นพ.ธิติ สนับบุญ หน่วยต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิสม ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาบอกว่า ขณะนี้พบเนื้องอก ต่อมใต้สมองชนิดคุชชิ่ง ซึ่งถือเป็นโรคหายากแต่เป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งเป็นโรคยังไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายนัก เพราะเนื้องอกต่อมใต้สมองชนิดคุชชิ่ง เป็นโรคที่พบไม่บ่อยแต่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยถึงเสียชีวิตในกรณีที่ไม่ได้รักษาหรือรับการรักษาที่ล่าช้า เนื่องจากเนื้องอกดังกล่าวจะสร้างฮอร์โมนสเตียรอยด์ปริมาณสูง ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายทำงานบกพร่อง จึงเกิดการติดเชื้อตามอวัยวะหรือกระแสเลือดได้ง่ายและรุนแรง ระบบการทำงานของอวัยวะผิดปกติ ได้แก่ เกลือแร่ในเลือด เกิดโรคเบาหวานและอ้วน รวมถึงอาการแขน ขาอ่อนแรง นอกจากนี้ ก้อนเนื้องอกที่ตำแหน่งต่อมใต้สมอง ซึ่งตั้งอยู่บริเวณฐานของสมองสามารถกดเบียด อวัยวะข้างเคียง เช่น เส้นประสาทตาทำให้ตามัวหรือบอด หรือปวดศีรษะอย่างรุนแรงได้
ดังนั้น คนที่อ้วนขึ้นผิดสังเกตโดยเฉพาะส่วนใบหน้าหรือลำตัว หรือมีรอยแตกของผิวหนังที่มีลักษณะเป็นสีแดงบริเวณท้องหรือต้นขา ผู้ป่วยเบาหวานหรือความดันโลหิตสูงที่ควบคุมได้ยาก ลุกนั่งหรือยืนลำบาก ปวดศีรษะ ตามัว หรือผู้หญิงที่มีสิวหรือขนตามตัวมากขึ้นร่วมกับประจำเดือนที่ผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ถึงโอกาสที่จะเป็นของเนื้องอกต่อมใต้สมองชนิดคุชชิ่ง เนื่องจากโรคเนื้องอกชนิดนี้สามารถรักษาให้หายขาดโดยการผ่าตัดซึ่งใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลระยะสั้นๆ ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ ไม่มีรอยแผลเป็นที่ใบหน้าหรือศีรษะ นอกจากนี้ ยังมีการรักษาเสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการผ่าตัดโดยใช้วิธีรังสีรักษาหรือการรักษาด้วยยาที่สามารถควบคุมระดับของฮอร์โมนสเตียรอยด์ได้
"ผู้ป่วยโรคนี้มีอัตราเสี่ยงในการเสียชีวิตสูงกว่าคนทั่วไปถึง 4 เท่า ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิต และในผู้ป่วยบางราย การเปลี่ยนแปลงทางรูปลักษณ์ภายนอกอาจทำให้สูญเสียความเชื่อมั่นและมีผลกระทบทางจิตใจ ดังนั้นหากมีอาการต้องสงสัยดังที่กล่าวมาจึงควรรีบพบแพทย์เพื่อจะได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป" ผศ.นพ.ธิติ ระบุ



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ