หลายคนทราบว่า "ตับ" เป็นอวัยวะสำคัญส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่จะมีสักกี่คน ที่ทราบว่าอาหารที่เราทานและไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตประจำวันเป็นการทำลาย ตับ รุนแรงอย่างไร
ถ้าใครยังไม่แน่ใจและหันมาสนใจให้ความสำคัญกับตับ จะสามารถเช็กและตรวจระดับการทำงานของตับได้ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่จากประเทศฝรั่งเศส "เครื่องตรวจตับ" หรือ "FibroScan" เป็นเครื่องตรวจดูสภาพการเกิดพังผืดในเนื้อตับ โดยจากข้อมูลระบุว่า ในปัจจุบันเครื่องตรวจนี้ถือเป็นเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุดเครื่อง หนึ่ง โดยอาศัยหลักว่าเนื้อตับปกติจะมีลักษณะนิ่มแต่ถ้ามีพังผืดมากหรือแข็งมาก เนื้อตับก็จะแน่นมากกว่าปกติ ดังนั้น จึงถือได้ว่าเครื่องตรวจนี้มีความสามารถในการวินิจฉัยโรคตับแข็งในระยะแรกๆ ได้ ในปัจจุบันเครื่องนี้ได้ถูกนำมาใช้ประเมินสภาพความแข็งของเนื้อตับเพื่อทดแทนการเจาะชิ้นเนื้อตับ ผลที่ได้จากการตรวจ Fibroscan จะช่วยในการพยากรณ์โรคแทรกซ้อน เพื่อติดตามผล และประเมินโรคที่เป็น โดยไม่เกิดความเจ็บปวดใดๆ กับร่างกาย ลดอัตราการแทรกซ้อนของการเจาะตับได้ และยังลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการนอนโรงพยาบาลอีกด้วย
ล่าสุด มูลนิธิพุทธสมุนไพรคู่แผ่นดินไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้บริจาคเครื่อง FibroScan เครื่องตรวจตับนวัตกรรมล่าสุดจากฝรั่งเศสนำเข้าโดยบริษัท แปซิฟิก เฮลธ์แคร์ (ไทยแลนด์) แต่เพียงผู้เดียว มูลค่ากว่า 7 ล้านบาทให้แก่ชมรมรักษ์ตับ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น
โดย รศ.พญ.วัฒนา สุขีไพศาลเจริญ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น บอกว่า สมัยก่อนเราเรียกเครื่องตรวจตับเป็น "เครื่องสแกนธรรมดา" ภาพเบลอๆ ต่อมาใส่คลื่นเสียงที่เรียกว่า อัลตราซาวด์ จะทำให้เราเห็นรูปร่างหน้าตาของตับมากขึ้น เราจะเห็นรูปร่างตับแข็งจริงๆ ก็ต่อเมื่อมันเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อเรามีเครื่อง FibroScan เทคโนโลยีสมัยใหม่จากประเทศฝรั่งเศสเครื่องนี้ เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของตับได้เร็วขึ้น
"ถ้าตับอักเสบจากไวรัส จากแอลกอฮอล์ จากความอ้วน คุณต้องแก้ไขแล้ว เพราะคุณกำลังจะเป็นตับแข็ง นี่คือความทันสมัยของเครื่อง และความทันสมัยของเครื่องอีกอย่างก็คือสามารถวัดความหนาของไขมันที่เกาะได้ สามารถบอกได้ว่าไขมันเกาะกี่เปอร์เซ็นต์ จะเป็นผลดีกับทั้งคนที่มีอาการป่วยแล้ว และคนที่ยังไม่รู้ตัวว่าป่วย ไวรัสตับอักเสบมีหลายชนิด"
คุณหมอ บอกต่อว่า สาเหตุหลักๆ ของการเป็นโรคตับ จำแนกออกเป็น 7 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มแรก คนชอบดื่มแอลกอฮอล์ คือพฤติกรรมการเข้าสังคม เพราะปัจจุบันไลฟ์สไตล์ของคนเริ่มเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเมื่อดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปมันเกี่ยวข้องกับการทำงานของตับโดยตรง โดยเฉพาะในบุคคลที่เป็นตับแข็งอยู่แล้ว จะยิ่งไปกระตุ้นให้เกิดการเป็นมะเร็งตับได้มากขึ้น
กลุ่มที่ 2 ผู้ที่มีไวรัสตับ A-C ตรงนี้หลายคนทราบผลของมันดีอยู่แล้ว เพราะโรคนี้เป็นแล้วรักษาไม่หาย คนที่เป็นต้องควบคุมพฤติกรรมการดื่มและการบริโภคของตัวเอง
กลุ่มที่ 3 จากยาทุกชนิด รวมทั้งอาหารเสริมหล่อ เสริมสวย ทั้งชนิดเม็ด แคปซูล และลูกกลอนต่างๆ หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่ากินแล้วมีพิษภัย หลายคนเข้าใจว่าการกินยานอนหลับ ประชด ฆ่าตัวตายไม่ส่งผลอะไรมากนัก เพราะคิดว่ายาพาราเซตามอลไม่มีพิษ จริงๆ ยาพาราเซตามอลแค่ระงับไม่ใช่แก้ให้อาการปวดมันหายขาด การกินยาทุกชนิดมีผลกระทบต่อตับ กินยาแต่ละครั้งมีผลต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนอยู่เสมอ ต่อให้กินยาอะไรถ้าหมอสั่ง จะรู้ปริมาณการรับของตับ แต่ถ้าเราไปกินยาที่เราไม่รู้จักอย่างเช่น ยาผิวสวย ยากินแล้วเด้ง จะรู้ไหมว่าเรากินอะไรไปบ้าง เพราะยาทุกตัวผ่านการทำงานของตับและไตขึ้นอยู่กับว่าออกที่ตับ หรือจะออกที่ไต นั่นเอง
กลุ่มที่ 4 สารพิษจาก น้ำสมุนไพร น้ำหมักต่างๆ
กลุ่มที่ 5 ความอ้วน คนอ้วนจะมีลักษณะเหมือนคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ แต่ไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ ดังนั้นคนอ้วนจะเสียเปรียบ และยิ่งไปดื่มแอลกอฮอล์จะเป็นการเข้าไปกระตุ้นให้เกิดโรคตับได้เร็วขึ้น
กลุ่มที่ 6 กรรมพันธุ์ คือ แม่สู่ลูก และคนไข้โรคภูมิต่อต้านตับ
และกลุ่มสุดท้ายที่ 7 คือ การทำเล็บ การสักต่างๆ ส่งผลต่อตับของเราทั้งนั้น ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่า แค่ทำเล็บ สัก มีผล อย่างไร คือถ้าเราไปแต่งเล็บที่ร้านเสริมสวย จะมีการแคะเล็บตะไบเล็บ ทำให้เลือดออก และถ้าคนทำเล็บก่อนหน้าเราเป็นไวรัสตับ เราจะติดต่อได้ การสักก็เช่นเดียวกัน เนื่องจากใช้เข็มต่อเข็มที่จะทำให้เกิดการติดต่อได้นั่นเอง
"ดังนั้น เมื่อทราบเช่นนี้ทุกคนอย่านิ่งนอนใจ อย่ารอให้เกิดอาการ อย่าคิดว่าตัวเองแข็งแรงไม่เป็นอะไร สิ่งที่ควรทำ คือ ควรไปตรวจตับ เพื่อลดความเสี่ยงของชีวิตตัวคุณเอง ซึ่งถ้าใครสนใจห่วงใยสุขภาพก็สามารถไปหาตรวจตับด้วยเทคโนโลยี ใหม่นี้กันได้ตามโรงพยาบาลที่มีให้บริการ เพราะการตรวจ Fibroscan ไม่เกิดความเจ็บปวดใดๆ ง่ายและรวดเร็ว ทราบผลทันที และไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนใดๆหลังการตรวจ เพียงท่านจะรู้สึกสั่นสะเทือนบริเวณผิวหนังที่ปลายหัวตรวจเล็กน้อย และผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล สามารถกลับบ้านได้ทันทีภายหลังการตรวจ อีกทั้งค่าใช้จ่ายไม่สูงมากอย่างที่คิดด้วย" รศ.พญ.วัฒนา สุขีไพศาลเจริญ กล่าวทิ้งท้าย