พลัสฯ พร้อมลุยรับงานบริหารอาคาร ครอบคลุมทุกประเภทชูมาตรฐาน Health and Wellness ฝ่าโควิด

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2564

พลัสฯ พร้อมลุยรับงานบริหารอาคาร ครอบคลุมทุกประเภทชูมาตรฐาน Health and Wellness ฝ่าโควิด


·       พลัสฯ ในธุรกิจบริหารจัดการอาคารเพื่อการพาณิชย์ (Commercial Building) พร้อมลุยเดินหน้ารับงานใหม่ ล่าสุดคว้า 3 โครงการใหม่ ได้แก่ 1.อาคาร WHA Tower อาคารสำนักงานระดับพรีเมียมย่านบางนา-ตราด พื้นที่ใช้สอยกว่า 52,000 ตารางเมตร  2.กลุ่มอาคารของ U City Group จำนวน 4 อาคาร รวมพื้นที่ 156,453 ตารางเมตร และ 3.กลุ่มอาคารหอพัก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จำนวน 4 อาคาร พื้นที่ใช้สอย 104,262 ตารางเมตร

·       ชูการดูแลอย่างมืออาชีพในมาตรฐานระดับสากลที่เป็นพาร์ทเนอร์เคียงข้างเจ้าของอาคาร ยกระดับมาตรฐานอาคารโดยมุ่งไปสู่เป้าหมายร่วมกัน

·       มองแนวโน้มธุรกิจบริหารจัดการอาคารสำนักงาน ต้องปรับตัวรองรับเมกะเทรนด์ในอนาคต โดยเฉพาะ Health and Wellness ที่ตอบโจทย์ในสถานการณ์โควิด-19 และปัญหา PM2.5 และมีการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้ รวมถึงการจัดการการใช้พื้นที่ในสำนักงานให้ตอบโจทย์รูปแบบสถานที่ทำงานแนวใหม่ ตลอดจนมีมาตรการและการดำเนินงานที่ดูแลด้านสุขอนามัยและป้องกันโรคระบาดเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้อาคาร

นายชาญ ศิริรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารทรัพยากรอาคารและระบบวิศวกรรม บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมตอบโจทย์ทุกบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ธุรกิจบริหารจัดการอาคารเพื่อการพาณิชย์ของพลัสฯ มีการปรับกลยุทธ์เพื่อฝ่าวิกฤตโควิด-19 และพร้อมเดินหน้ารับงานโครงการใหม่ โดยขยายการดูแลบริหารอาคารให้ครอบคลุมในอาคารทุกประเภท ทั้งอาคารสำนักงานของภาครัฐและเอกชน คอมมูนิตี้มอล อาคารมิกซ์ยูส ในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยปัจจุบันพลัสฯ ดูแลอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ของผู้ประกอบการทั้งในกลุ่มของธุรกิจธนาคารและการลงทุน ธุรกิจโรงพยาบาล สถานศึกษา และล่าสุดรับดูแลบริหารอาคารใน 3 โครงการใหม่ ได้แก่ 1.อาคาร WHA Tower อาคารสำนักงานระดับพรีเมียมย่านบางนา-ตราด พื้นที่ใช้สอยกว่า 52,000 ตารางเมตร 2.อาคารของกลุ่ม U City Group จำนวน 4 อาคาร จำนวน 4 อาคาร - TST Tower, The Grand Regent, The Royal Place 1,  The Royal Place 2 รวมพื้นที่ 156,453 ตารางเมตร และ 3.กลุ่มอาคารหอพัก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จำนวน 4 อาคาร – อาคารกุลพิพัฒน์, อาคารพยาบารสถิต, อาคารนวไชยยันต์, อาคารนวราชูปถัมถ์ พื้นที่ใช้สอย 104,262 ตารางเมตร ทำให้ปัจจุบันธุรกิจบริหารจัดการอาคารเพื่อการพาณิชย์ของพลัสฯ มีพื้นที่บริหารรวมมากกว่า 2,300,000 ตารางเมตร

ปัจจุบันตามที่ได้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทย และเกิดผลกระทบต่อการใช้พื้นที่อาคารสำนักงานจากมาตรการ Work From Home แม้ในช่วงนี้ที่ความต้องการใช้พื้นที่อาคารสำนักงานจะลดน้อยลง อาคารหลายแห่งไม่ได้เปิดใช้งานเต็มพื้นที่ 100% แต่ในส่วนของพลัสฯ ก็ยังคงมีทีมงานมืออาชีพประจำอยู่ในอาคาร โดยปรับจำนวนทีมงานให้สอดคล้องกับปริมาณการปฏิบัติงานในแต่ละโครงการ และมีการกำหนดมาตรการป้องกันโรคระบาดอย่างเคร่งครัด เพื่อดูแลและตรวจเช็คระบบวิศวกรรมอาคารให้อยู่ในสภาพดีและสามารถใช้การได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในส่วนของผู้ใช้อาคาร ก็มีมาตรการดูแลคัดกรองผู้เข้ามาติดต่อในอาคารตามแนวทางของกรมควบคุมโรค และมีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อเพื่อสุขอนามัยที่ดี ซึ่งนอกจากการดำเนินงานที่พลัสฯ มีมาตรฐานระดับสากลแล้ว ยังมีการปรับกลยุทธ์ เพิ่มมาตรฐานการดูแลที่ตอบโจทย์สถานการณ์ปัจจุบัน โดยมีการเพิ่มการบริหารจัดการโดยคำนึงถึงเรื่อง “Health and Wellness” เพื่อดูแลผู้ใช้อาคารให้ผ่านสถานการณ์โควิด-19 ไปได้อย่างปลอดภัย โดยมีการตรวจคัดกรองผู้เข้าออกในอาคาร ตรวจวัดอุณหภูมิและซักถามประวัติความเสี่ยงของทีมงานและทีมคู่สัญญาที่เข้ามาปฏิบัติงานในพื้นที่ มีการนำ เทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Technology) มาใช้ควบคุมด้านงานระบบและการดูแลควบคุมคุณภาพอากาศในอาคาร มีการใช้หุ่นยนต์ทำความสะอาดและเครื่องฉีดพ่นฆ่าเชื้ออัตโนมัติ รวมทั้งเครื่องสแกนตรวจวัดอุณหภูมิ เป็นต้น

ในส่วนของพลัสฯ เอง ได้มีประสบการณ์บริหารอาคารที่ได้รับรางวัลการันตรีด้าน Health and Wellness โดยมีการดูแลและนำอาคารสิริแคมปัสผ่านการรับรองมาตรฐานสากล Fitwel ระดับ 3 ดาว ด้วยคะแนนสูงสุดในเอเชียประจำปี 2020 ซึ่ง “Health and Wellness” เป็นเมกะเทรนด์ที่มาแรงในวงการอาคารสำนักงานยุคใหม่ จากเดิมที่สังคมเริ่มตระหนักถึงความสำคัญและเริ่มหันมาสนใจในเทรนด์นี้ และได้รับแรงส่งซึ่งเป็นผลมาจากโควิด-19 และปัญหา PM2.5 ที่เป็นปัจจัยประตุ้นด้านการดูแลสุขภาวะและสุขอนามัยที่ดีของผู้ใช้อาคาร เพื่อตอบโจทย์การทำงานและการใช้ชีวิตให้ผ่านสถานการณ์โควิด-19 ไปได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นธุรกิจดูแลบริหารจัดการอาคารต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับเมกะเทรนด์อาคารสำนักงานนี้ นอกจากนี้ ยังต้องมีการจัดการการใช้พื้นที่ในสำนักงาน ให้ตอบโจทย์รูปแบบสถานที่ทำงานแนวใหม่ ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้บริษัทต่าง ๆ มีการควบคุมค่าใช้จ่ายและลดความเสี่ยงจากการเช่าพื้นที่สำนักงานมากขึ้น จึงต้องจัดการใช้งานอย่างเหมาะสม มีรูปแบบการผสมผสานการทำงานนอกพื้นที่สำนักงานมากขึ้น ฝ่ายบริหารจัดการอาคารจึงต้องมีการทบทวน จัดลำดับความสำคัญในการบริหารพื้นที่ที่ต้องปรับเปลี่ยนรองรับวิถีการทำงานแบบใหม่นี้ ตลอดจนมีมาตรการและการดำเนินงานที่ดูแลด้านสุขอนามัยและป้องกันโรคระบาดเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้อาคารด้วย

“Health and Wellness คือเมกะเทรนด์ของการบริหารจัดการอาคารสำนักงานในยุคต่อจากนี้ นอกจากการดูแลอาคารแล้ว การดูแลผู้ใช้อาคารด้านสุขอนามัยและการมีสุขภาวะที่ดีจะเข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญที่เจ้าของอาคารมองข้ามไม่ได้ ธุรกิจบริหารจัดการอาคารจึงต้องปรับรูปแบบการทำงานให้สอดรับกับเทรนด์แห่งโลกอนาคต ในส่วนของพลัสฯ ก็ได้มีการยกระดับการให้บริการดูแลอาคารอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับเมกะเทรนด์เหล่านี้ เพื่อส่งมอบบริการอย่างมืออาชีพด้วยมาตรฐานระดับสากล พร้อมการเป็นพาร์ทเนอร์เคียงข้างเจ้าของอาคารที่ครอบคลุมในอาคารทุกประเภท มุ่งยกระดับมาตรฐานอาคารไปสู่เป้าหมายร่วมกัน” นายชาญ กล่าว

 

ซีพี จัดธุรกิจพร้อมรับโลกยุคหลังโควิดเปิด 4 กลยุทธ์รับมือ  เน้นความร่วมมือและขยายธุรกิจในต่างประเทศ เดินหน้าโมเดลธุรกิจในการเป็น ‘แพลตฟอร์มแห่งโอกาส’เชื่อมผู้ประกอบการไทยในวงกว้าง ให้เข้าถึงตลาดใหม่ในต่างประเทศมากขึ้น

“เราต้องเร่งเครื่องเดินหน้าบนเวทีโลก

และเราต้องช่วยผู้ประกอบการไทยให้ก้าวไปสู่ตลาดระดับโลกพร้อมกันกับเรา”

– ศุภชัย เจียรวนนท์, ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์

กรุงเทพฯ, 24 สิงหาคม 2564 – วันนี้

ซีพี จัดธุรกิจพร้อมรับโลกยุคหลังโควิดเปิด 4 กลยุทธ์รับมือ  เน้นความร่วมมือและขยายธุรกิจในต่างประเทศ เดินหน้าโมเดลธุรกิจในการเป็น ‘แพลตฟอร์มแห่งโอกาส’เชื่อมผู้ประกอบการไทยในวงกว้าง ให้เข้าถึงตลาดใหม่ในต่างประเทศมากขึ้น

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ประกาศกลยุทธ์ธุรกิจเตรียมพร้อมสำหรับโลกหลังวิกฤตการระบาดของโควิด-19 โดยในฐานะเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่มีความหลากหลายทางธุรกิจมากที่สุดในประเทศไทย และมีพนักงานมากกว่า 400,000 คน เครือซีพีจะเร่งขยายธุรกิจในต่างประเทศและจับมือเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการและธุรกิจอื่นๆ ในประเทศไทย

นายศุภชัย กล่าวว่า “การระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 ได้ทำให้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลกระทบเสียหายอย่างรุนแรงต่อธุรกิจ SME ในประเทศไทย และในขณะเดียวกัน ก็สร้างผลกระทบอีกด้านหนึ่งด้วย กล่าวคือ ทำให้เกิด 'บริษัทยักษ์ใหญ่' ในระดับนานาชาติจำนวนมาก ที่ปัจจุบันกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าทางธุรกิจมากกว่า GDP ของหลายประเทศในโลก”

นายศุภชัยกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจทั้งสองด้าน “ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยบนเวทีระดับโลก อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในประเทศ จากการที่ SME ไทยอ่อนแอลง”

นายศุภชัยกล่าวว่า เครือซีพีจะขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปข้างหน้าด้วย 4 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ “หนึ่ง-เร่งเครื่องการลงทุน, สอง-เร่งเครื่องการเดินหน้าบนเวทีโลก, สาม-ลดความซับซ้อนของโครงสร้างธุรกิจของเครือเพื่อเพิ่มความคล่องตัวและความรวดเร็วในการดำเนินธุรกิจ และสี่-สร้างแพลตฟอร์มทางธุรกิจเพื่อขยายความร่วมมือกับธุรกิจ ผู้ประกอบการอื่นๆ ของไทย รวมถึงเกษตรกรจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงตลาดต่างประเทศ”

“ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนแบบนี้ เราจะต้องไม่ชะลอการลงทุนของเรา ในทางกลับกัน เราจะต้องเร่งแผนการลงทุนของธุรกิจต่างๆ ในเครือ โดยเดินหน้าลงทุนในโครงการใหม่ๆ และรวมถึงโครงการที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดการสร้างงานและสร้างธุรกิจค้าขายดีลใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ SME และเกษตรกรเล็กๆ รวมจำนวนมากกว่า 1.2 ล้านราย ที่เรามีความร่วมมือทางธุรกิจกันอยู่แล้วทั้งทางตรงและทางอ้อม” 

“เงินใช้จ่ายต่างๆ ของธุรกิจต่างๆ ในเครือซีพีน่าจะกระจายต่อไปสู่หลากหลายชุมชนและหลากหลายธุรกิจ ทุกขนาด นอกจากนั้นยังมีเงินจำนวนอีกเกือบ 2 พันล้านบาทที่เครือซีพีได้บริจาคเพื่อการช่วยเหลือต่างๆ ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการระบาดของโควิด-19 ” นายศุภชัยกล่าว

เช่นเดียวกันกับการลงทุนในต่างประเทศที่เครือซีพีกำลังเร่งเครื่อง โดยนายศุภชัยคาดการณ์ว่า “การริเริ่มโปรเจ็คใหญ่ๆ หลายอย่างที่กำลังมีความคืบหน้าไปอย่างรวดเร็วในปีนี้จะสามารถช่วยเพิ่มตัวตนและสถานภาพที่แข็งแกร่งของธุรกิจไทยในตลาดต่างประเทศได้”

เครือเจริญโภคภัณฑ์มี 14 กลุ่มธุรกิจ ซึ่งนายศุภชัย กล่าวว่าจะมีการปรับลดความซับซ้อนของโครงสร้างธุรกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์ด้วยเช่นกัน

“เราต้องการช่วยทำให้บริษัทในเครือซีพี สามารถตัดสินใจต่างๆ ระหว่างบริษัทได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น เป็นการทำงานในยุคของโลกที่ความเร็วเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างมากต่อความสำเร็จของธุรกิจ”

นายศุภชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่สำคัญในการเตรียมความพร้อมสำหรับโลกหลังวิกฤติโควิด-19 ของธุรกิจในเครือซีพี คือ การก้าวไปข้างหน้าให้ได้ไกลกว่าการเป็นเพียงผู้ผลิตสินค้าและการบริการเท่านั้น โดยเครือซีพีจะเดินหน้าสู่การเป็นแพลตฟอร์มที่ส่งเสริม SME และผู้ประกอบการธุรกิจอื่นๆ ในการพัฒนาศักยภาพ พร้อมกับเปิดประตูไปสู่โอกาสใหม่ๆ เพื่อการเติบโตทางธุรกิจทั้งในประเทศไทยและระดับโลก

นายศุภชัยกล่าวว่า ส่วนหนึ่งของโครงการที่เครือซีพี เรียกว่า “แพลตฟอร์มแห่งโอกาส” นั้น เรากำลังพัฒนาระบบที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการและธุรกิจอื่นๆ ของประเทศไทย รวมถึงเกษตรกรจำนวนมากสามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้โดยผ่านการทำงานร่วมกันกับบริษัทในเครือซีพี

“เมื่อบริษัทใดก็ตามในเครือซีพี ประสบความสำเร็จอย่างแข็งแรงในตลาดต่างประเทศได้แล้ว จะช่วยให้กลุ่ม SME ไทยอีกนับสิบ นับร้อย หรือนับพัน ตลอดจนเกษตรกรและผู้ผลิตต่างๆ ให้สามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศเหล่านั้นได้ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งโดยปกติทั่วไปแล้วธุรกิจ SME จะมีข้อจำกัดหรือไม่สามารถรับความเสี่ยงและความยากลำบากในการพยายามตั้งหลักในตลาดต่างประเทศได้ และบ่อยครั้งที่ธุรกิจเหล่านั้นไม่สามารถรับมือกับความท้าทายจากเครือข่ายธุรกิจในประเทศต่างๆ ได้ ดังนั้นหากเครือซีพีสามารถเป็นแพลตฟอร์มที่สนับสนุนและร่วมมือทางธุรกิจกับ SME ไทยต่างๆ ได้ เราจะสามารถมีส่วนช่วย SME เหล่านั้น เพิ่มศักยภาพ และช่วยให้พวกเขาสามารถเข้าถึงตลาดที่ปกติแล้วจะมีแต่บริษัทใหญ่ๆ ที่สุดของไทยเท่านั้นที่จะสามารถเข้าได้ เป็นการปลดล็อคศักยภาพทางเศรษฐกิจใหม่อย่างมหาศาล ซึ่งจะช่วยนำความรุ่งเรืองมาสู่คนนับล้าน และในขณะเดียวกันก็เป็นการตอกย้ำเส้นทางการดำเนินธุรกิจของเครือซีพีในระดับสากล ผ่านแนวคิดแบบ Win-Win”

นายศุภชัย กล่าวว่า แนวทางของโมเดลธุรกิจที่เรียกว่า ‘แพลตฟอร์มแห่งโอกาส' นี้ เป็นแนวทางหนึ่งที่ดีที่สุดในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของประเทศไทย ในโลกยุคใหม่หลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะ “เป็นการรวมพลังและระดมศักยภาพของ SME หลายหมื่นรายและวิสาหกิจไทยอื่นๆ ออกไปสู้บนเวทีระดับโลก”

“บริษัทไทยต้องร่วมมือกันให้ได้มากที่สุดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เพื่อสร้างพลังร่วมกัน ส่งเสริมความสามารถการแข่งขันของประเทศไทยบนเวทีเศรษฐกิจโลกต่อไปในอนาคต เช่นเดียวกับที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกในสหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน ญี่ปุ่น หรือเกาหลี ที่สนับสนุนและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศบ้านเกิด และบริษัทในประเทศของตัวเอง ไปพร้อมกับการสร้างคุณค่าให้กับประเทศที่ธุรกิจต่างๆ เหล่านั้นเข้าไปดำเนินธุรกิจ และเราก็ควรทำเช่นเดียวกัน ซึ่งสอดคล้องตามหลักการ ‘3 ประโยชน์’ ของเครือซีพี กล่าวคือ อันดับแรกคำนึงถึงการสร้างประโยชน์ให้กับประเทศที่เราเข้าไปดำเนินธุรกิจ และตามมาด้วยการสร้างประโยชน์ให้กับสังคม และสร้างประโยชน์ให้กับบริษัท” นายศุภชัยกล่าว



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ