Toggle navigation
วันอังคาร ที่ 19 สิงหาคม 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
เข็นระบบลีสซิ่ง รัฐรับภาระดอกเบี้ยแจ้งเกิด โซลาร์ รูฟ ท็อป
เข็นระบบลีสซิ่ง รัฐรับภาระดอกเบี้ยแจ้งเกิด โซลาร์ รูฟ ท็อป
วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556
Tweet
ท่ามกลางสถานการณ์ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤติพลังงานครั้งใหญ่ เมื่อพม่าหยุดส่งก๊าซธรรมชาติ จำนวน 1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ระหว่างวันที่ 5-14 เมษายน 2556 ส่งผลกระทบต่อการผลิตกระแสไฟฟ้า จำนวน 6,400 เมกะวัตต์ แต่จากการร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถแก้ไขปัญหา "เฉพาะหน้า" ทำให้ปริมาณสำรองไฟฟ้าฉุกเฉินในวันที่ 5 เมษายน เพิ่มเป็น 1,470 เมกะวัตต์ สามารถรองรับปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุด ไม่เกิดวิกฤติไฟฟ้าดับ
ในระยะยาวกระทรวงพลังงานได้ปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าพีดีพี (2013) เพื่อนำแผนการผลิตไฟฟ้าไปใช้ในช่วงปี 2556-2573 โดยจะลดการพึ่งก๊าซธรรมชาติมาผลิตไฟฟ้า จากปัจจุบันที่ใช้ถึง 70% ให้เหลือเพียง 45% ด้วยการหันไปใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้า จากเดิม 18% เพิ่มเป็น 20% รวมถึงพลังงานน้ำจากเขื่อน ซึ่งจะมีการซื้อไฟจากต่างประเทศเพิ่มจาก 10% เป็น 15% และพลังงานทดแทนคงที่ไว้ 20%
จากแผนการกระจายความเสี่ยงการผลิตไฟฟ้าหันไปพึ่งไฟฟ้าจากถ่านหินมากขึ้น ทำให้เกิดเสียงคัดค้านจากองค์กร เอกชนหลายแห่ง ซึ่งเกรงว่าจะไม่สามารถ ผลักดันให้ประสบความสำเร็จได้ ส่วนไฟฟ้าจากพลังน้ำก็ยังไม่มีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมมากนัก
แม้ที่ผ่านมาในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ พม่า สปป.ลาวและกัมพูชา ได้เสนอตัวลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน พลังน้ำ และปรมาณู แล้วใช้ไทยเชื่อมโยงระบบสู่ภูมิภาคอาเซียน ก็ตาม
มองลู่ทางความเป็นไปได้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนดูพอจะเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์อยู่บ้าง จากนโยบายของกระทรวงพลังงาน ภายใต้การกำกับดูแลของนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล นั่นคือ การผลักดันพลังงานทดแทนจากหญ้าเนเปียร์ และพลังงานแสงอาทิตย์จากบ้านเรือน
จะเห็นว่าพลังงานทดแทนในสัดส่วน 20% นำไปผลิตไฟฟ้า จะมาจากการผลิตก๊าซจากชีวมวล ที่มาจาก "หญ้าเนเปียร์" ถึง 15% เพื่อนำไปเข้าสู่ระบบการผลิตไฟฟ้าตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ต้องผลิตไฟฟ้าให้ได้ 10,000 เมกะวัตต์ ภายใน 10 ปี
ล่าสุด มีผู้สนใจลงทุนพลังงานทด แทนจากหญ้าเนเปียร์แล้ว 100 ราย...!
การขับเคลื่อนจะเป็นลักษณะโครง การวิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียวจากพืชพลังงาน ตามแผนจะให้วิสาหกิจชุมชน ปลูกหญ้าพลังงาน โดยให้เกษตรกรปลูกจำนวน 800-1,000 ไร่ ผลผลิต 35-40 ตันต่อไร่ ประกันราคารับซื้อ 300 บาทต่อตัน คาดว่าจะมีหญ้าเข้าสู่ระบบวันละ 120 ตัน จากนั้นจะนำไปผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อแปลงเป็นไฟฟ้า 1 เมกะวัตต์ มูลค่าลงทุน แห่งละ 100 ล้านบาท ผลิตไบโอแก๊สวันละ 12,000 ลูกบาศก์เมตร ผลิตไฟฟ้าได้วันละ 24,720 หน่วย จำหน่ายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หน่วยละ 4.50 บาท ทำไปผลิตก๊าซ CBG เพื่อทดแทน LPG ได้ นอกจากนี้ ยังได้ปุ๋ยกลับสู่เกษตรกรอีกวันละ 12 ตัน
และโปรเจกต์ "เหล้าเก่าในขวดใหม่" ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน นายพงษ์ศักดิ์ มีนโยบายส่งเสริมให้มีการผลิตในภาคครัวเรือนอย่างจริงจัง
"โซลาร์ รูฟ ท็อป ที่ติดตั้งบนหลังคาโรงงานและบ้านเรือนประชาชน ผมได้มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไปศึกษาถึงปัญหาอุปสรรคเพื่ออำนวยความสะดวกการขอใบอนุญาตในการติดตั้งแผงโซลาร์ การออกระเบียบให้ง่ายขึ้น รวมถึงขั้นตอนในการซื้อขายไฟฟ้า เพราะว่าปัจจุบันมีปัญหาเรื่องการคิดภาษีในการซื้อขาย รวมถึงตัวโซลาร์มีมอเตอร์เกี่ยวกับโรงงาน ต้องการใบอนุญาต รบ.4 ทำให้เกิดความยุ่งยาก ซึ่งจำเป็นจะต้องแก้ไขกฎระเบียบหรือข้อยกเว้น" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าว
จากนโยบายดังกล่าวถูกนำไปสู่การปฏิบัติในการ "ปลดล็อก" เพื่อให้เกิด การจูงใจการลงทุนของประชาชน โดยนายอำนวย ทองสถิตย์ อธิบดีกรมพัฒนา พลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กล่าวว่า ได้ใช้เงินจากกองทุนฯ จำนวน 500 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนหันมาเข้าร่วมโครงการโซลาร์ รูฟ ท็อป นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนประชาชนในลักษณะเช่าซื้อ เพื่อให้การติดตั้งอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้านเรือน
"มาตรการส่งเสริมการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้านจะหาผู้สนับสนุนด้วยวิธีเช่าซื้อ ซึ่งตอนนี้มีธนาคารหลายแห่งแสดงความสนใจแล้ว เป็นลักษณะการออกเงินให้ก่อนแล้วค่อยผ่อนคืนภายหลัง ภาครัฐจะเป็นฝ่ายดูแลดอกเบี้ยให้" อธิบดี พพ. กล่าว
ส่วนปัญหาการติดตั้งมอเตอร์ที่บ้าน เรือนผิดกฎหมายโรงงานอุตสาหกรรม นั้นอยู่ระหว่างแก้ไขกฎหมายโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งกฎหมายฉบับดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วเตรียมเสนอผ่านความเห็นจากคณะรัฐมนตรีเป็นลำดับต่อไป
"โซลาร์ รูฟ ท็อป" ใกล้เป็นจริงเข้ามาทุกที นอกจากมาตรการอัดฉีดจากภาครัฐบาลแล้ว วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้มูลค่าการลงทุนถูกลง
โดยการติดตั้งอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ บนหลังคาบ้านขนาด 3 กิโลวัตต์ ราคาจะอยู่แค่ 200,000 บาท และบ้านแต่ละหลังมีความเหมาะสมลงทุนอยู่ที่ 5 กิโลวัตต์เท่านั้น จึงไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่คนไทยจะเป็นเจ้าของพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
The Associated Press
"กระทรวงพาณิชย์" เตรียมจัดงาน “Thailand ...
...
“BCT Expo 2025” จัดเต็มนวัตกรรมเชื่อมอุต...
...
อาร์อีเอส รีนิวเอเบิล เอนเนอร์ยี่ โซลูชั...
...
กรมพัฒนาธุรกิจฯ ฉลองความสำเร็จ The Influ...
...
THECA 2025 เร่งปั้นบุคลากรคุณภาพ ตอบโจทย...
...
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ