Toggle navigation
วันอาทิตย์ ที่ 29 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
อนาคตพลังงานไทยกับการก้าวสู่ AEC ถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะต้องเป็นผู้เลือก
อนาคตพลังงานไทยกับการก้าวสู่ AEC ถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะต้องเป็นผู้เลือก
วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556
Tweet
นับถอยหลังเข้าไปทุกขณะกับการก้าวสู่การค้าและการลงทุนภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 ด้วยการรวมตัวกันของ 10 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนได้แก่ ไทย พม่า สิงคโปร์ ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน และฟิลิปปินส์ ซึ่งจะมีประชากรรวมกันกว่า 600 ล้านคน จึงนับได้ว่าตลาดแห่งนี้จะเป็นตลาดน้องใหม่ไฟแรงแห่งหนึ่งของโลกที่นักลงทุนต่างจับจ้องที่จะเข้ามาจับจองพื้นที่ทางการค้าและการลงทุนในภูมิภาคนี้ เพราะไม่เพียงแค่ตลาดดังกล่าวแต่เป้าหมายต่อไปนักลงทุนเหล่านี้ยังมองไปยังตลาดใหญ่ที่จะเชื่อมโยงไปสู่จีน และอินเดีย นั่นเอง
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะก่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบใหม่ (New Growth) การค้าและการลงทุนจะเสรีอย่างมาก และเมื่อมองย้อนกลับ ความได้เปรียบของไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในการเข้าสู่ AEC พบว่าไทยมีที่ตั้งที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค นี้ ดังนั้นเราจึงได้เปรียบในแง่ของการท่องเที่ยวและระบบการขนส่งที่จะเชื่อม โยง (Connectivity) ภูมิภาคนี้เข้าด้วยกัน นั่นเอง และนี่จึงเป็นที่มาการจัดทำร่าง ยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐาน เพื่อการพัฒนำระบบขนส่งของประเทศมูลค่า 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลภายใต้การนำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนปัจจุบัน เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง
ยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะทำให้ไทยมีขีดความสามารถทางการแข่งขันที่สูงขึ้นเพราะการลงทุนภายใต้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์การพัฒนาของประเทศอื่นๆ ทั้งพลังงาน อุตสาหกรรม เกษตรกรรมเข้าด้วยกันภายใต้การลดต้นทุนด้านลอจิสติกส์ ที่จะเน้นลงทุนระบบราง ท่าเรือ ขนส่งทาง อากาศ การบริหารจัดการน้ำ ที่ขณะนี้ไทยมีการขนส่งที่พึ่งพิงน้ำมันเป็นหลัก เมื่อปรับมาเป็นระบบรางจะทำให้มีการประหยัดพลังงานต่อปีในอนาคตได้ในระดับแสนล้านบาท และยังสามารถขน ส่งคนในการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แน่นอนว่ายุทธศาสตร์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่จะต้องเกี่ยวข้องกับแผนการ พัฒนาพลังงาน ดังนั้น กระทรวงพลังงาน ภายใต้การกำกับดูแลของนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.กระทรวงพลังงาน คนปัจจุบันจึงได้วางยุทธศาสตร์พลังงาน ในการเชื่อมเข้ากับระบบการพัฒนาประเทศแล้วยังต้องเชื่อมระบบเข้ากับ AEC อีกด้วย AEC จะช่วยเพิ่มโอกาสให้กับประเทศไทยเข้าถึงตลาดใหม่ (ASEAN) ซึ่งจะก่อให้เกิดการยกระดับทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ไทยมีความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางด้านพลังงาน (Hub) ภูมิภาค ซึ่งระยะเวลาอีกเพียง 2 ปีข้างหน้าจึงจำเป็น ที่ไทยต้องเร่งวางโครงสร้าง พื้นฐานด้านพลังงานรองรับการยกระดับการ เติบโตทางเศรษฐกิจดังกล่าวอย่างเร่งด่วน
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้มีการดำ เนินการภายใต้แผนปฏิบัติการอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานปี 2553-2558 (ASEAN Plan of Action on Energy Cooperation : APAEC) มีโครงการหลักที่สำคัญ 7 สาขา ได้แก่ 1.การเชื่อมโยงระบบสายส่งไฟฟ้าของอาเซียน (ASEAN Power Grid : APG) 2.การเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติของอาเซียน (Trans-ASEAN Gas Pipeline : TAGP) 3.เทคโนโลยีถ่านหินและถ่านหินสะอาด 4.พลังงานที่นำมา ใช้ใหม่ได้ (Renewable Energy : RE) 5.การสงวนรักษาและประสิทธิภาพของพลังงาน (Energy Efficiency and Conservation : EE{amp}C) 6.นโยบายและการวางแผนพลังงานภูมิภาค และ 7.พลังงานนิวเคลียร์
อย่างไรก็ตาม เราต้องยอมรับว่าใน 7 โครงการดังกล่าวนับว่าล้วนมีความสำคัญที่จะต้องเร่งเดินหน้า โดยเฉพาะการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติของอาเซียน จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากทั้งในปัจจุบัน และอนาคต เพราะไทยยังต้องเสาะแสวง หาแหล่งก๊าซธรรมชาติใหม่ๆ เพื่อรองรับการบริโภคในประเทศ และดูเหมือนจะเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยให้ประเทศไทยมี แหล่งก๊าซที่จะป้อนเข้ามาในระบบมากขึ้น ขณะที่การเชื่อมโยงระบบสายส่งไฟฟ้า ของ อาเซียน ยังคงต้องมีการพัฒนาสายส่งไฟฟ้าเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง ของการจ่ายไฟฟ้าในภูมิภาคและส่งเสริมให้มีการขายไฟฟ้าระหว่างประเทศ เพื่อลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าโดยรวม ซึ่งประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะยกระดับให้เป็นศูนย์ กลางการซื้อขายไฟฟ้า (Electricity Hub) ของภูมิภาค
การเชื่อมโยงพลังงานเข้ากับอาเซียน นั้นจะเป็นการเพิ่มศักยภาพความมั่นคงด้านพลังงานของไทยเนื่องจากเพิ่มโอกาส ในการเข้าถึงแหล่งพลังงานในประเทศภูมิภาค ASEAN เนื่องจากปัจจุบันไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าพลังงาน โดยมีการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศ สูงถึง 85% ของความต้องการใช้พลังงาน ในประเทศ มีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจาก พม่า 30% ของความต้องการใช้ในประเทศ และยังมีการนำเข้าพลังงานไฟฟ้าจากลาว และมาเลเซียอีกส่วนหนึ่ง
ทั้งนี้ การผลิตไฟฟ้าของไทยขณะนี้พึ่งพิงก๊าซธรรมชาติถึงเกือบ 70% ซึ่งแนวโน้มอีก 10 ปีข้างหน้า ก๊าซฯอ่าวไทยจะทยอยหมด ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่างพม่าแหล่งก๊าซฯ ก็เริ่มจำกัด และเมื่อเข้าสู่ AEC อาจทำให้พม่าไม่จำเป็นต้องขายก๊าซฯให้เราเพิ่มเติมอีก ดังนั้นไทยจึงหนีไม่พ้นการนำเข้าจากต่างประเทศที่ต้องขนมาในรูปของเหลวที่ เรียกว่าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ที่จะมีราคาแพงกว่าก๊าซฯที่ไทยใช้อยู่ ถึงเท่าตัว นั่นหมายถึงอนาคตค่าไฟไทยก็จะต้องบวกไปอีกเท่าตัวเช่นกัน จากปัจจุบันค่าไฟฐานอยู่ที่ 3.75 บาทต่อหน่วยก็จะปรับไปมากกว่า 5 บาทต่อหน่วย
การเชื่อมโยงระบบพลังงานของไทย เข้ากับประเทศเพื่อนบ้านตามยุทธศาสตร์ ดังกล่าวจึงไม่เพียงแต่เป็นการสร้างความ มั่นคงด้านพลังงานด้วยการแสวงหาและพัฒนาแหล่งพลังงานทั้งในและต่างประเทศ แต่ยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการกระจายแหล่งและประเภทเชื้อเพลิงพลังงานให้มีความหลากหลายและยั่งยืน ตลอดจนเพิ่ม โอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอุตสาห-กรรมพลังงาน นำมาซึ่งราคาพลังงานที่มีราคาถูกลงที่จะดึงดูดให้เกิดการลงทุนทาง ด้านอุตสาหกรรมและพลังงานที่ต่อเนื่องทั้งโรงกลั่นและปิโตรเคมี อันจะส่งเสริมให้ภูมิภาคนี้มีความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจ ที่จะก้าวไปกับการเติบโตที่พร้อมๆ กันได้
ขณะเดียวกันประเทศไทยนั้นก็ยังจะมีโอกาสผลักดันให้อุตสาหกรรมพลังงานสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศโดยการใช้ความได้เปรียบในเชิงภูมิยุทธศาสตร์โดยเฉพาะพลังงานทดแทน และพลังงานทางเลือก เช่น เอธานอล การผลิตไฟฟ้าจากหญ้าเนเปียร์ พลังงาน ลม พลังงานน้ำ และพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น ซึ่งจะกระตุ้นให้มีการเพิ่มมูลค่าเพิ่มในสินค้าเกษตรอย่างครบวงจรนำมาซึ่งระบบเกษตรกรรมที่เข้มแข็งและมีความหลากหลายตามความเหมาะสมของพื้นที่ และยังเป็น การส่งเสริมการค้นคว้าวิจัยเพื่อนำมาซึ่งต้นทุนที่ลดลงในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงที่ทุกประเทศแม้แต่ประเทศไทยจะหลีกเลี่ยง ไม่ได้คือการก้าวเข้าสู่ AEC ราคาพลังงานจะต้องสะท้อนกลไกตลาดโลกเพราะการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ ทุนและแรงงานเสรี ตลอดจนการเปิดเสรีการลงทุนภายในภูมิภาค โอกาสการลงทุนที่เพิ่มขึ้นจะนำมาซึ่งความต้องการ พลังงานที่เพิ่มขึ้น หากประเทศใด
อุดหนุนราคาพลังงานที่ต่ำไว้ย่อมทำ ให้การไหลบ่าไปใช้เพิ่มจะยิ่งสูงขึ้น นั่นก็จะเป็นภาระของคนในชาตินั้น ตัวอย่างของไทยเองก็เช่นกัน ปัจจุบันไทยมีการ ตรึงราคาก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจี โดยยังไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ด้วยการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไป อุดหนุนส่วนต่างไว้เฉลี่ยปีละไม่ น้อยกว่า 3-4 หมื่นล้านบาท ซึ่งไม่เพียงทำให้คนใช้น้ำมันต้องถูกรีดเงินมาอุดหนุนผู้ใช้แอลพีจีในประเทศอย่างไม่เป็นธรรม แล้วส่วนหนึ่งยังไปอุดหนุนให้เพื่อนบ้าน อีกด้วยเพราะมีการลักลอบนำออกไปเพราะราคาประเทศเพื่อนบ้านแพงกว่า ไทยนั่นเอง
ดังนั้น ไทยมีเวลาอีกไม่นานนัก ในการเตรียมความพร้อมด้านพลังงาน ในการรองรับการก้าวสู่ AEC เพราะเมื่อถึงเวลานั้นหากเราไม่เลือกที่จะกำหนดอนาคตของเราเอง ระบบการ เปิดเสรีจะเป็นตัวกำหนดอนาคตให้กับคนไทยเองซึ่งนั่นหมายถึงไทยจะเผชิญความเสี่ยงกับความมั่นคงและ ราคาพลังงานที่แพงมากยิ่งขึ้น อย่าให้คนอื่นมากำหนดอนาคตเราถึงเวลา แล้วหรือยังที่คนไทยจะต้องเลือกอนาคตให้กับตัวเอง...
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
The Associated Press
EV–AI–IoT คืออนาคต: ไทยจัด THECA 2025 รั...
...
พาณิชย์ เตรียมลงพื้นที่ชลบุรีจัดสัมมนาให...
...
“พิชัย” เปิดงาน “Crafts Bangkok 2025” หน...
...
TFBO 2025 ปิดฉากสวย ยอดผู้เข้าชมทะลุหมื่...
...
บราโว บีเคเค-โซเชียลแบรนด์ จับมือ ม.เกริ...
...
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ