Toggle navigation
วันเสาร์ ที่ 28 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไทยทำ ไทยใช้ เปิดกังหันลมผลิตไฟฟ้าท่าเรือแหลมฉบัง Green Port
ไทยทำ ไทยใช้ เปิดกังหันลมผลิตไฟฟ้าท่าเรือแหลมฉบัง Green Port
วันจันทร์ที่ 08 เมษายน พ.ศ. 2556
Tweet
ท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) นำร่องได้เปิดโครงการกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้า จำนวน 84 ชุด พร้อมรณรงค์ให้หน่วยงาน ต่างๆ หันมาให้พลังงานทดแทนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เตรียมพร้อมก้าวสู่การ เป็นท่าเรือสีเขียวที่เป็นศูนย์กลางในการขนส่งสินค้าทางทะเลรับ AEC พร้อมกับเปิดประตูตรวจสอบสินค้าที่ 4 ที่ท่าเรือแหลมฉบังด้วย
โครงการกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้าได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปลายปี 2555 โดยการจัดหาพร้อมติดตั้งกังหันลมกระแส ไฟฟ้าขนาด 10 กิโลวัตต์ จำนวน 94 ชุด บริเวณโดยรอบท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อเป็น พลังงานทางเลือกหมุนเวียนที่มีศักยภาพและเหมาะสมสอดคล้องกับนโยบายท่าเรือ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Port) ซึ่งจะเป็นพลังงานทางเลือกจากแหล่งพลัง งานหมุนเวียนที่มีศักยภาพและสอดคล้องกับสภาพพื้นที่ของท่าเรือแหลมฉบัง เช่น พลังงานลมหรือพลังงานแสงอาทิตย์มาช่วยเสริมระบบพลังานไฟฟ้าที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เป็นการเพิ่มสัดส่วนของการใช้พลัง งานทดแทนให้มากขึ้น
สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริม และยกระดับการให้บริการ โดยเน้นให้ท่าเรือแหลมฉบังเป็นท่าเรือที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมุ่งเน้นการดำเนินการต่างๆ ในเชิงอนุรักษ์ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศ และของโลกโดยรวม อย่างยั่งยืน
เรือเอกสุทธินันท์ หัตถวงษ์ ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) เปิดเผยว่าตั้งแต่ปี 2553 ท่าเรือแหลมฉบัง เป็นหน่วยงานที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าในระดับสูง โดยมีการใช้พลังงานไฟฟ้าถึง 65,183 ล้านหน่วยไฟฟ้า คิดเป็นจำนวนเงิน กว่า 195 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตในแต่ละปีถึง 9.21% และมีแนวโน้มเพิ่มมาก ขึ้นอย่างต่อเนื่องตามปริมาณกิจกรรมการ ขนส่งทางทะเล และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง กับท่าเรือที่เพิ่มตามการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2558 ที่จะก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่ไทยจะเป็นประเทศหลักในภูมิภาคที่จะเป็นศูนย์กลางของการขนส่งสินค้าทาง ทะเล จึงเป็นที่มาของการติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้า จำนวน 84 ชุดอยู่บนพื้นที่ 100 ไร่ ด้วยกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้ารวม 84 กิโลวัตต์ จะสามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้ 15% คิดเป็นมูลค่า 40 ล้านบาทต่อปี และ ในอนาคตท่าเรือแหลมฉบังจะลงทุนการติด ตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้าเพิ่มในเฟส 2 คาดว่าจะเปิดได้ปี 2559-2560 วงเงินลงทุนประมาณ 165 ล้านบาท
ทั้งนี้ ปริมาณกระแสไฟฟ้าจากการผลิตของกังหันครั้งนี้จะนำไปเสริมระบบพลังงานไฟฟ้าที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อาทิ ไฟส่องสว่างบริเวณถนนและพื้นที่สาธารณะ ประตูตรวจสอบสินค้า คลังสินค้า และอาคารสำนักงานของท่าเรือแหลมฉบัง ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าจากการไฟฟ้า ส่วนภูมิภาค
ด้านดร.วิรชัย โรยนรินทร์ ผู้ช่วยคณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าวว่า กังหันลมผลิตไฟฟ้าทั้ง 84 ชุด ผลิตโดยศูนย์วิจัยพลังงาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดยวัสดุที่นำมาผลิตครั้งนี้มาจากในประเทศเกือบทั้งหมด ยกเว้นแม่เหล็กอย่างเดียวยังต้องนำเข้า เพราะติดปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ โครงการนี้จึงเป็นโครงการนำร่องของศูนย์วิจัยพลังงานและเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทุกคนที่ไม่ต้องนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ทำให้ประเทศต้องสูญเสียงบ ประมาณจำนวนมาก
"กังหันลมผลิตไฟฟ้าที่ท่าเรือแหลมฉบังเป็นการต่อยอดจากการไปดูงานกังหัน ลมผลิตไฟฟ้าโครงการพระราชดำริช่างหัวมัน ที่มีกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 5 กิโลวัตต์ และหน่วยงานต่างๆ สามารถหันมาใช้พลังงานทางเลือกทดแทนการใช้พลังงานไฟฟ้า ช่วยลดการเกิดมลภาวะที่นับวันจะรุนแรงขึ้นทุกวัน"
ดร.วิรชัย กล่าวว่า เทคโนโลยีที่มหาวิทยาลัยฯคิดค้นขึ้นมาผลิตกังหันลมผลิตไฟฟ้าสามารถนำไปติดตั้งได้ทั่วประเทศ เพราะเหมาะกับกำลังลมในประเทศที่มีความเร็วอยู่ในระดับ 4-5 เมตร ต่อวินาที แต่เทคโนโลยีจากต่างประเทศต้องใช้กับกระแสลมที่มีความเร็วระดับ 7 เมตรต่อวินาทีขึ้นไป ทำให้เกิดปัญหาต้องมีพื้นที่รองรับ เช่น บริเวณอุทยานแห่งชาติ หรือพื้นที่ ส.ป.ก. โดยพื้นที่ของหน่วยงานราชการที่สามารถติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้าได้ ได้แก่ พื้นที่ของทหารเรือ กรมเจ้าท่า และพื้นที่ของกองทัพอากาศ ที่มีที่ดินติดกับชายฝั่งทะเล
"ภาครัฐควรหันมาสนับสนุนพลังงานทดแทนประเภทพลังงานลมมากกว่าพลังงานแสงอาทิตย์ เพราะไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ใช้พื้นที่จำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงประเทศเกิดภาวะวิกฤติพลังงาน รัฐบาลได้ปรับลดแผนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติลง แล้วหันไปให้ความสำคัญในการลงทุนโรงไฟฟ้าถ่านหิน ผมมองว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะก่อสร้างแห่งใหม่ได้ ยกเว้นรัฐบาลจะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าถ่านหินจากแหล่งผลิตเดิมเท่านั้น จึงมีทางออกที่เป็นไปได้นั่นคือ การเพิ่มสัดส่วนพลังงานทางเลือกให้มากขึ้นเป็น 40% ในระยะ 10 ปีตามแผน PDP" ผู้ช่วยคณบดี กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
The Associated Press
EV–AI–IoT คืออนาคต: ไทยจัด THECA 2025 รั...
...
พาณิชย์ เตรียมลงพื้นที่ชลบุรีจัดสัมมนาให...
...
“พิชัย” เปิดงาน “Crafts Bangkok 2025” หน...
...
TFBO 2025 ปิดฉากสวย ยอดผู้เข้าชมทะลุหมื่...
...
บราโว บีเคเค-โซเชียลแบรนด์ จับมือ ม.เกริ...
...
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ