ปัจจุบันจึงมีการพัฒนารถยนต์โดย สารขนาดใหญ่ หรือรถเมล์ ให้ใช้เครื่อง ยนต์ปลดปล่อยมลพิษต่ำ โดยเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ เช่น เอธานอลและไบโอดีเซล ซึ่งประเทศไทยมีความได้เปรียบในเชิงภูมิศาสตร์จึงผลิตเชื้อเพลิงได้ล้นเหลือ และมีการส่งออกในอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งจะช่วยเกษตรกร จากยอดการผลิตล้นตลาดแล้ว ยังจะช่วยลดความแออัดการจราจร และลดมลพิษในอากาศจากรถยนต์ส่วนบุคคล
แผนพัฒนาพลังงานทดแทน หรือ Alternative Energy Development Plan : AEDP ไทยได้กำหนดเป้าหมายการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพวันละ 40 ล้านลิตร ในปี 2565 ประกอบด้วยเชื้อเพลิงหลักๆ ได้แก่ เอธานอลและไบโอดีเซล ซึ่งมีศักยภาพในการผลิตรวมกันในปัจจุบันไม่น้อยกว่า 10 ล้านลิตรต่อวัน แต่ความต้องการในตลาด มีเพียง 5 ล้านลิตรต่อวัน
สมาคมผู้ผลิตไบโอดีเซลไทยได้เปิดเผยตัวเลขกำลังการผลิตไบโอดีเซลราว 5 ล้านลิตรต่อวัน มีตลาดในประเทศเพียง 2.5-2.8 ล้านลิตรต่อวัน หากมีการนำรถยนต์โดยสารที่ใช้เชื้อเพลิงไบโอดีเซลมาใช้ในเมืองไทยแล้วจะช่วยให้มีการใช้ไบโอดีเซล อีกวันละไม่น้อยกว่า 500,000 ลิตร จะช่วยให้ชาวสวนปาล์มสามารถจำหน่ายผล ปาล์มได้ในราคาที่เหมาะสม
กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จึงได้เสนอโครงการรถยนต์โดยสารเชื้อเพลิงชีวภาพเอธานอล-ไบโอดีเซล ต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อให้รถเมล์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ จำนวน 3,000 คัน
ปัจจุบันเอธานอลมีกำลังการผลิต วันละกว่า 4 ล้านลิตร มาจากอ้อยมีสัดส่วน ร้อยละ 68 และมันสำปะหลังร้อยละ 38 ผู้ค้าน้ำมันมีความต้องการวันละ 2 ล้านลิตร ถ้าหากมีการนำรถเมล์ 3,000 คันมา ใช้ประเมินว่าจะต้องใช้เชื้อเพลิงชีวภาพจากเอธานอลวันละ 700,000 ลิตร คิดเป็นรายได้ของชาวไร่มันสำปะหลังและไร่อ้อยปีละกว่า 4,000 ล้านบาท
ที่ผ่านมา SCANIA ร่วมกับ ปตท. และผู้ผลิตเอธานอลรายใหญ่ของไทยสามารถผลิตสารปรับแต่งคุณสมบัติ (Additive) ได้ในประเทศแล้วสามารถปรับแต่ง ให้เอธานอลความบริสุทธิ์ 95% เป็นน้ำมัน ดีเซลในอัตราส่วนเอธานอล 95% ต่อสาร ปรับแต่งเพียง 5% รถโดยสารดังกล่าวมีใช้ในสวีเดนแล้วและมีรถตัวอย่างในไทยพร้อมให้ทดสอบจำนวน 1 คัน ซึ่งต่อไปจำเป็นจะต้องปรับปรุงโครงสร้างเอธานอล ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ด้วย
E 85 ก็มีการส่งเสริมการใช้จากเอธานอลความบริสุทธิ์ไม่น้อยกว่า 99.5% ผสมกับน้ำมันเบนซินพื้นฐานที่ปรังแต่งคุณภาพในอัตราส่วนเอธานอล 85% ต่อน้ำมันพื้นฐาน 15% เพื่อใช้กับรถเก๋งและรถบรรทุก ซึ่งต่อไปจำเป็นจะต้องมีการกำหนดมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว
รถยนต์โดยสารไบโอดีเซล B100 และ Biodiesel-Hybrid คาดว่าจะสามารถลดมลพิษในอากาศลงได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 เพื่อเป็นการส่งเสริมจะต้องปรับปรุงโครงสร้างภาษีรถยนต์และเครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง เอธานอลและไบโอดีเซลต่อไป