สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ได้เปิด ประมูลมรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) ที่ใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติรวมกำลังการผลิต 5,400 เมกะวัตต์ โดยมีผู้มาซื้อเอกสารยื่นประมูล (RFP) มากถึง 89 ราย แต่ปรากฏว่ามีสิทธิ์ยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้า จำนวน 44 ราย
ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา สำนักงาน กกพ. ได้มีการเปิดซองข้อเสนอด้านเทคนิคที่คณะอนุกรรม การจัดหากำลังการผลิตไฟฟ้า หรือ Bid Management Committee (BMC) มอบหมาย โดยมีผู้แทนของผู้ยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้า จำนวนทั้งสิ้น 9 รายเท่านั้น คาดว่าจะสามารถประเมินข้อเสนอด้านเทคนิคแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2556 จากนั้นถึงจะเผยแพร่รายชื่อผู้ผ่านการประเมินข้อเสนอด้านเทคนิค หรือ Stage 2Bidders ต่อไป
สำหรับผู้ที่ยื่นซองข้อเสนอด้านเทค-นิค 9 รายมาจาก 5 กลุ่ม ดังนี้ 1.กลุ่มบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป 2.บริษัท กัลฟ์ เพาเวอร์ เจน เนอร์เรชั่น จำกัด 3.บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) 4.บริษัท เนชั่นแนลเพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือเอ็นพีเอส และ 5.บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้ผลิต ไฟฟ้าในเครือบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ไม่ได้เข้ายื่นซองประกวดราคาและด้านเทคนิคแต่อย่างใด
โดยนายนพพล มิลินทางกูร กรรม-การผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัท ไม่ได้เข้ายื่นประกวดราคาไอพีพีรอบที่ 3 เพราะเห็นว่ามีความเสี่ยงสูงที่ต้องหาพื้นที่ใกล้แนวท่อก๊าซธรรมชาติและสายส่งไฟฟ้า รวมถึงความเสี่ยงในการวาง หลักประกัน 1.2 พันล้านบาท สำหรับกำลังผลิต 2,000 เมกะวัตต์ อาจไม่เป็นธรรมต่อผู้ถือหุ้นที่จะต้องนำเงินไปกองไว้กับความเสี่ยง
ด้านนายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่า การการไฟฟ้าการผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า จากการเปิดประมูลรับ ซื้อไฟฟ้าจากเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี) ของ กกพ. โดยเป็นการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ทั้ง หมด รวมกำลังการผลิต 5,400 เมกะวัตต์ จะส่งผลให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2563 ที่เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบตามแผนพัฒนากำลังไฟฟ้าของประเทศ หรือ พีดีพี 2010 สูงขึ้น ทำให้ประชาชนอาจจะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 6 บาทต่อหน่วย ซึ่งสูงขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 3.74 บาทต่อหน่วย เนื่องจากราคาก๊าซที่นำมาใช้ผลิตจะมีการปรับราคาสูงขึ้นในอนาคต
"ผมเคยหารือเรื่องนี้กับภาครัฐไปแล้ว แต่ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยน ยังคงเปิด ประมูลตามแผนที่วางไว้ ซึ่งจากการใช้ก๊าซธรรมชาติผลิตไฟฟ้าทั้งหมดก็เลี่ยงไม่ได้ที่ค่าไฟฟ้าจะต้องปรับตัวสูงขึ้น" นายสุทัศน์กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายกวิน ทังสุพานิช เลขาธิการ กกพ. ยืนยันกับ "สยามธุรกิจ" ว่า ในอนาคตจะมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยในการจัดเก็บก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) และการค้นพบก๊าซธรรมชาติ ในสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้น จึงเชื่อว่าจะทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติเหลวมีราคาถูกลง ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลดลงตามไปด้วย
สำหรับการประมูลโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ กำลังการผลิต 5,400 เมกะวัตต์ครั้งนี้ มีกำหนดก่อสร้างเสร็จและส่งขายไฟฟ้าในระหว่างปี 2564-2569 โดยการยื่นประมูลแต่ละรายต้องจ่ายเงิน 3 ล้านบาท บวกค่าประกันสัญญาอีก 5 แสนบาทต่อกิโลวัตต์ คาดว่าเงินลงทุนจะอยู่ที่ 1.6-1.9 แสนล้านบาท
และถ้าหากโครงการนี้ประสบความ สำเร็จ แต่การก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง กำลังการผลิต 4,000 เมกะวัตต์ ภายใต้การดูแลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ยังไม่สามารถก่อสร้างได้แม้แต่แห่งเดียว
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จึงได้เตรียมแผนสองไว้รองรับ ถ้าหากกฟผ.ไม่สามารถสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินได้ เพราะถูก ต่อต้านจากชาวบ้าน กระทรวงพลังงานก็จะเปลี่ยนแนวทางการก่อสร้าง โดยเปิดประมูลให้ภาคเอกชนเข้ามาดำเนินการแทน
เชื่อว่าการเปิดประมูลโรงไฟฟ้าถ่าน หินที่มีกำลังการผลิต 4,000 เมกะวัตต์ จะ คึกคักกว่าโรงไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ เพราะต้นทุนการผลิตถูกกว่า ขอเพียงพูดจาภาษาเดียวกันกับชาวบ้านเท่านั้น