Toggle navigation
วันศุกร์ ที่ 27 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
"รับมือวิกฤติพลังงาน- ค่าเงินบาทอ่อนตัว"
"รับมือวิกฤติพลังงาน- ค่าเงินบาทอ่อนตัว"
วันพุธที่ 03 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
Tweet
สัมภาษณ์พิเศษ "สุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ" ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.)
ในช่วงครึ่งปีหลัง 2556 ปัจจัยที่น่าห่วงที่อยู่ใกล้ที่สุดคือ ค่าเงินบาท เพราะค่าเงินบาทผันผวนขึ้นและลงเร็วมาก จำได้ไหม ค่าเงินบาทขึ้นหรือลง 1 บาท เมื่อเปรียบเทียบจากราคาน้ำมันดิบดูไบ 100 เหรียญสหรัฐ จะทำให้ราคาขายปลีกเปลี่ยนไป 70-80 สตางค์
ท่ามกลางสถานการณ์ประเทศไทยกำลังประสบภาวะวิกฤติความมั่นคงทางด้านพลังงาน บวกกับปัจจัยเสี่ยงภายนอกกรณีเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกากำลังฟื้นตัว ส่งผลกระทบต่อราคาเชื้อเพลิง ในตลาดโลกขยับขึ้น ในฐานะที่ประเทศไทยยังพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศจะต้อง เตรียม ความพร้อมอย่างไร "สยามธุรกิจ" มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ "สุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ" ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เพื่อทราบแนวทางรับมือกับสถานการณ์วิกฤติพลังงานที่กำลังรุมเร้าอยู่ในห้วงเวลานี้
นายสุเทพ กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง 2556 ปัจจัยที่น่าห่วงที่อยู่ใกล้ที่สุดคือ ค่าเงินบาท เพราะค่าเงินบาทผันผวนขึ้นและลงเร็วมาก จำได้ไหม ค่าเงินบาทขึ้นหรือลง 1 บาท เมื่อเปรียบเทียบจากราคาน้ำมันดิบดูไบ 100 เหรียญสหรัฐ จะทำให้ราคาขายปลีกเปลี่ยนไป 70-80 สตางค์ เพราะฉะนั้นถ้าเงินบาทอ่อนลง 1 บาทก็ทำให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 70-80 สตางค์ หรือถ้าค่าเงินบาท อ่อนลงไปถึง 2 บาทก็จะทำให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นไปถึงบาทกว่าทีเดียว ดังนั้น ปัจจัยค่าเงินบาทมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว ทำให้เราต้องเฝ้าติดตามอยู่ตลอดเวลา
นอกจากปัจจัยที่พูดกันเยอะเรื่องค่าเงินบาทแล้ว ปัจจัยที่ 2 เศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีขึ้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ต่อประเทศไทยเราอย่างแน่นอน เพราะเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯดี คนของเขาก็ต้องจับจ่ายใช้สอยมาก ทำให้ราคาน้ำมันแพง ส่งผลต่อราคาในตลาดโลก ประเทศไทยก็ต้องซื้อน้ำมันราคาแพงตามไปด้วย ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจยุโรปไม่ดี ทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 104-105 เหรียญ สหรัฐ ปีนี้ก็น่ามีการเคลื่อนไหวเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 101 เหรียญสหรัฐ แต่ก็ต้องดูปัจจัยอื่นๆ ที่เกิดขึ้นตามมาด้วย
"การปล่อยคิวอีทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีเกินคาด เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น จึงเกิดปรากฏการณ์เทขายหุ้นในตลาดหุ้นเมืองไทย เพื่อนำเงินไปลงทุนที่สหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วทั้งเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และจีน ซึ่งปัจจัยที่เกิดขึ้นล้วนมาจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัว ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทอ่อนตัวเอง"
ผู้อำนวยการ สนพ. กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังประสบภาวะความมั่นคงด้านพลังงาน เพราะมีการพึ่งพาเชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้ามากเกินไป จึงต้องมีการปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2556-2573 (แผน PDP 2013-2030) คาดว่าประมาณปลายปีนี้จะแล้วเสร็จ โดยแผน PDP ใหม่ได้ตั้งเป้าหมายลดการใช้ก๊าซธรรมชาติลงจาก 54% เหลือ 32% ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายเพราะก๊าซธรรมชาติอ่าวไทยใกล้หมดแล้ว แต่ถ้าหากไม่มีการปรับปรุงใหม่จะมีการนำเข้า LNG ช่วงปลายปีละ 23 ล้านตัน ทำให้ค่าไฟฟ้าขยับขึ้นเกือบ 6 บาทต่อหน่วยจากปัจจุบัน 3.75 บาทต่อหน่วย
เช่นเดียวกับไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์เดิมมี 3% อาจจะยกออกจากแผนการผลิตไฟฟ้า แต่ก็ต้องรอดูในขั้นตอนประชาพิจารณ์จะออกมาอย่างไร
ส่วนเชื้อเพลิงที่จะมีการปรับเพิ่มขึ้นเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ได้แก่ ถ่านหินสะอาดจากเดิม 13% ได้ เพิ่มเป็น 18% ซึ่งจะทำให้มีการผลิตกระแสไฟฟ้าจากเดิม 3.5 เมกะวัตต์ เพิ่มเป็น 1 หมื่นเมกะวัตต์ การซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศเดิม 10% เพิ่มเป็น 19% ก็มีกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 1 หมื่นเมกะวัตต์เช่นเดียวกัน และพลังงานหมุนเวียนเดิม 14% เพิ่มเป็น 24%
"ประเทศเราไม่มีถ่านหินสะอาด มีแต่อยู่ที่ประเทศอินโดนีเซีย แต่เราก็ไม่ได้นำเข้ามาทั้งที่อยู่ใกล้ๆ เห็นมีแต่เกาหลี จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน ที่อยู่ห่างจากอินโดฯ พากันนำเข้าไปผลิตไฟฟ้า แต่ว่าจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ไหนก็ต้องรอแผน PDP เมื่อรู้ว่าเป็นโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชนิดไหน จะตั้งที่ไหนในแผนจะต้องมีการผ่านขบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน"
ส่วนการแก้ปัญหาวิกฤติพลังงานภาคใต้ เนื่องจากมีความต้องการไฟฟ้ามีมากถึง 2,200 เมกะวัตต์ แต่มีการผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพียง 1,000 กว่าเมกะวัตต์ ที่เหลือต้องพึ่งพาจากภาคกลางประมาณ 400-500 เมกะวัตต์ ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานภาคใต้จะต้องมีโรงไฟฟ้าเป็นของตัวเอง จะเป็นที่ไหนก็ได้ เพราะภาคใต้กมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความต้องการไฟฟ้าสูงกว่าภูมิภาคอื่น
เช่นเดียวกับการป้องกันไฟฟ้าดับที่เกาะสมุย ขอฝากให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เกาะสมุยต้องคิดหาแหล่งพลังงานให้มีความมั่นคง โดยช่วยภาครัฐสร้างความเข้าใจกับประชาชนในจังหวัดภาคใต้ ไม่เช่นนั้นชาวสมุยก็เสี่ยงจะเกิดไฟฟ้าดับขึ้นอีก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
The Associated Press
EV–AI–IoT คืออนาคต: ไทยจัด THECA 2025 รั...
...
พาณิชย์ เตรียมลงพื้นที่ชลบุรีจัดสัมมนาให...
...
“พิชัย” เปิดงาน “Crafts Bangkok 2025” หน...
...
TFBO 2025 ปิดฉากสวย ยอดผู้เข้าชมทะลุหมื่...
...
บราโว บีเคเค-โซเชียลแบรนด์ จับมือ ม.เกริ...
...
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ