หลังจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้เห็น ชอบให้ขึ้นราคาแก๊สหุงต้มหรือแอลพีจีภาคครัวเรือนอีก 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม เป็นเวลา 12 เดือน จากปัจจุบันจำหน่ายอยู่ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 นั้น
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานได้เตรียมความพร้อมการ ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยไว้แล้ว ซึ่งผู้ที่จะได้ รับการชดเชยราคาแก๊สเท่าเดิม ประกอบด้วย ผู้มีรายได้น้อยใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วย ต่อเดือนประมาณ 7.6 ล้านครัวเรือน กลุ่ม ครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ 1.86 แสนราย และ กลุ่มหาบเร่ 1.6 แสนราย โดยจะดำเนินการผ่านโทรศัพท์มือถือสามารถแจ้งมาที่กระทรวงพลังงาน โดยบริษัทน้ำมันจะเป็นผู้รับผิดชอบส่วนต่างทั้งหมดแทนร้านค้า
ทั้งนี้ ผู้รับสิทธิต้องลงทะเบียนครั้งแรกครั้งเดียว เพื่อยืนยันสิทธิว่าเป็นใคร ใช้ หมายเลขโทรศัพท์อะไร และซื้อจากร้านใด จากนั้นภายใน 1 ปีที่มีการปรับขึ้นราคา ก็ สามารถสั่งซื้อแก๊สแอลพีจี โดยกดโทรศัพท์เพื่อยืนยันตน และรับรหัสส่วนลด โดย ต้องแจ้งปริมาณการใช้ให้ทราบ ส่วนผู้ไม่มี โทรศัพท์มือถือใช้เบื้องต้น ต้องขอยืมโทรศัพท์จากเพื่อนบ้าน เพื่อยืนยันใช้สิทธิส่วน ลดไปก่อน โดยครัวเรือนจะได้รับสิทธิส่วนลด 18 กิโลกรัมต่อ 3 เดือน และหาบเร่ จะได้สิทธิ 150 กิโลกรัมต่อเดือน
ในส่วนของกลุ่มที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยจะได้รับแจ้งรหัสในบิลค่าไฟฟ้าจากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้า ส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา เพื่อเริ่มใช้สิทธิในเดือนกันยายน ส่วนหาบเร่แผงลอย ในกลุ่มที่ได้รับการสำรวจจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตไปแล้ว และกลุ่มที่ยังตกสำรวจสามารถไป แจ้งเพื่อขอรับบัตรแสดงสิทธิ ที่สำนักงานเขต อบต., เทศบาล, สำนักงานพาณิชย์จังหวัด สำนักงานการค้าภายในจังหวัด, สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัด และพลังงานจังหวัดทั่วประเทศ ภายในวันที่ 5-30 สิงหาคม นี้
ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างราคาก๊าซแอล พีจีภาคครัวเรือนในวันที่ 1 กันยายนนี้ และ ภาคขนส่ง ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2557 จะทำให้ราคาขยับไปอยู่ในระดับเดียวกันที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม โดยการขึ้นราคาจะ ไม่กระทบกับค่าครองชีพ มีผลต่อต้นทุนอาหารเพิ่มขึ้นแค่ 1% เท่านั้น
นอกจากนี้ การปรับโครงสร้างราคา แอลพีจีครั้งนี้ คาดว่าจะส่งผลให้กองทุนน้ำมันมีฐานะเป็นบวก ประมาณเดือนละ 50 ล้านบาท จากจำนวนครัวเรือนที่ได้รับสิทธิ อุดหนุน 7.6 ล้านครัวเรือน และหาบเร่ 1.6 แสน คิดเป็นวงเงินชดเชยรวม 35 ล้านบาท แต่เมื่อคิดจากจำนวนผู้ใช้แอลพีจีในปัจจุบันที่ 18 ล้านครัวเรือน จะเหลือประมาณ 10 ล้านครัวเรือนที่จ่ายราคาแอลพีจีที่ปรับโครงสร้างใหม่เพิ่มขึ้นด้วย
ไม่เพียงราคาก๊าซแอลพีจีเท่านั้นที่มีแนวโน้มขยับตัวสูงขึ้น แต่ราคาน้ำมันแก๊ส โซฮอล์ก็ได้ทะลุเกิน 40 บาทไปแล้ว โดยกระทวงพลังงานยืนยันไม่มีนโยบายตรึงราคา น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ไม่เกิน 40 บาทต่อลิตร แต่จะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด
ด้านนายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านธุรกิจ การตลาด บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภายใน 1-2 เดือนนี้ ราคากลุ่มเบนซิน แก๊สโซฮอล์จะเพิ่มสูงขึ้น คาดแก๊สโซฮอล์ 95 จะทะลุไปถึง 42 บาท ต่อลิตร แต่จะเป็นเพียงช่วงสั้น ปลายปีช่วง เดือนพฤศจิกายน 2556-กุมภาพันธ์ 2557 ราคาน่าจะลดลงได้ ส่วนราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาจะเพิ่มขึ้นเพื่อรับมือฤดูหนาว ของยุโรปและสหรัฐฯ สำหรับราคาขายปลีก น้ำมันดีเซล คาดว่ารัฐบาลจะยังคงตรึงราคาไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร
ขณะที่นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าว ว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันปีนี้จะทรงตัวอยู่ ในระดับ 100-110 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากช่วงปลายปีจะมีการใช้น้ำมันดีเซล มากขึ้น ดังนั้น จึงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่รัฐบาลจะปรับขึ้นราคาดีเซล และเก็บภาษี สรรพสามิต 1.50 บาทต่อลิตรในปีนี้
"การแก้ปัญหาโครงสร้างราคาพลังงานจะต้องทำทีละอย่าง เวลานี้กำลังปรับโครงสร้างแอลพีจีก็ควรดำเนินการให้เสร็จ ก่อนค่อยมาดูแลราคาดีเซลและเอ็นจีวีต่อไป ซึ่งช่วงเวลาที่รัฐบาลควรปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลควรเป็นปี 2557 หรือหลังจากที่ได้ปรับขึ้นราคาแอลพีจีเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่ารัฐบาล ชดเชยราคาดีเซลให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อย เช่นเดียวกับการชดเชยราคาแอลพีจีให้กลุ่ม คนจน ได้แก่ กลุ่มเกษตรกร ประมง กลุ่มรถโดยสารสาธารณะ ส่วนกลุ่มแท็กซี่จะช่วยหรือไม่ต้องพิจารณาอย่างเหมาะสม"
ขณะที่นายมนูญ ศิริวรรณ นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน เปิดเผยว่า การปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคครัวเรือน เดือนละ 50 สตางค์ ในวันที่ 1 กันยายนนี้ เชื่อว่าจะทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบบ้างแต่ไม่มากนัก เนื่องจากเป็นการทยอยปรับราคา ไม่ใช่ปรับขึ้นครั้งเดียว แต่สำหรับ ประชาชนที่รับประทานอาหารนอกบ้าน อาจจะมีผลกระทบ เนื่องจากร้านค้า ผู้ประกอบการขายอาหาร อาจจะมีการฉวยโอกาส ปรับขึ้นค่าอาหาร ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ จะต้องเข้มงวดตรวจสอบราคาอาหารที่ขายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
"ประชาชนก็ไม่รับรู้ต้นทุนพลังงานที่ แท้จริง และมีการใช้อย่างฟุ่มเฟือย ซึ่งอนาคตราคาพลังงานจะสูงขึ้นอีกมาก ทางออกในการ แก้ปัญหาก็คือ ทุกฝ่ายจะต้องร่วมกันประหยัดพลังงาน" นายมนูญ กล่าว