เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมา นายสุนชัย คำนูญเศรษฐ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเข้ารับตำแหน่ง เป็นผู้ว่าการ กฟผ. คนที่ 12 ต่อจากนายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ โดยได้แสดงวิสัยทัศน์ในฐานะผู้ว่าการ กฟผ.คนใหม่
นายสุนชัย กล่าวว่า ได้วางนโย-บายการทำงาน 4 เรื่อง ประกอบด้วย 1.การพัฒนาโรงไฟฟ้าใหม่เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิมที่ปลดออกจากระบบ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าจะนะ 2 กำลังผลิต 800 เมกะวัตต์ เสร็จปี 2557 โรงไฟฟ้า วังน้อย 4 กำลังผลิต 800 เมกะวัตต์ เสร็จปี 2557 โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุด 2 กำลังผลิต 900 เมกะวัตต์ เสร็จปี 2558 โรงไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 4-7 กำลังผลิต 600 เมกะวัตต์ เสร็จปี 2561 และโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ กำลังผลิต 800 เมกะวัตต์ เสร็จปี 2562 ซึ่งงบประมาณสำหรับสร้างโรงไฟฟ้าช่วง 5 ปี (2556-2560) อยู่ที่ 180,019 แสนล้านบาท จากงบลงทุนรวม 303,175 แสนล้านบาท
"โรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระบี่ขณะนี้เร่งสร้างความเข้าใจกับชุมชนและระดม ความคิดเห็นตามชุมชน เนื่องจากหลาย ฝ่ายมีความกังวลถึงสภาพแวดล้อมและอ้างถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดกับโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ซึ่งความเป็นจริงในปัจจุบัน โรงไฟฟ้าถ่านหินมีวิวัฒนาการก้าวหน้า ขึ้นมากและเป็นที่ยอมรับของทั่วโลกและไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2557"
2.ผลักดันโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ จะเป็นโรงไฟฟ้าแห่งแรกจากทั้งหมดอยู่ที่ราว 3,200 เมกะวัตต์ ตามแผนพัฒนา กำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (พีดีพี) 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 ส่วนพีดีพีใหม่ หรือ พีดีพี 2013 ที่อยู่ระหว่างปรับปรุงนั้น คาด ว่าจะมีความชัดเจนภายในปลายปีนี้ โดย กฟผ.จะกำหนดให้สัดส่วนเชื้อเพลิงถ่าน หินในพีดีพี 2013 เพิ่มเป็น 30% จากปัจจุบันอยู่ที่ 18%
3.สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่ปัจจุบันรัฐบาลเห็น ชอบที่จะเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนจากเดิมกว่า 9,000 เมกะ วัตต์ เป็น 13,000 เมกะวัตต์ 4.การพัฒนา ประสิทธิภาพระบบส่งไฟฟ้าด้วยการเร่งสร้างและปรับปรุงระบบส่งเก่า แบ่งเป็นงบ ลงทุนสายส่ง 5 ปี อยู่ที่ 1.5 แสนล้านบาท และงบลงทุนเพิ่มเติมสำหรับสายส่งภาคใต้ 68,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ กฟผ. ต้องเร่งดำเนินการ พัฒนาระบบส่งไฟฟ้า เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับพลังงานหมุนเวียนในอนาคต ตามนโยบายของรัฐบาล ที่จะสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าผู้ผลิตเอกชนรายเล็ก (SPP) และรายเล็กมาก (VSPP) ที่ใช้เชื้อเพลิงประเภทพลังงานหมุนเวียน และที่สำคัญที่สุด คือ การพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าอาเซียน ASEAN Power Grid (APG) เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียน (AEC)
นายสุนชัย กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มค่าไฟฟ้าปี 2556-2557 กฟผ.จะดูแลค่าไฟฟ้าไม่ให้เป็นภาระประชาชนที่ผ่านมา เคยรับภาระราว 20,000-30,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันต้นทุนการผลิตลดลง ทำให้คณะ กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ทยอยคืนเงินมาเกือบหมดแล้ว ล่าสุดรัฐบาลมีนโยบายให้ตรึงค่าเอฟทีปลายปีนี้ ซึ่ง กฟผ.ยังรับได้ แต่หากปีหน้ายังต้องรับภาระต่อ ก็คาดว่าจะส่งผลต่อ ความสามารถในการลงทุนของ กฟผ. ทั้งโรงไฟฟ้าและสายส่ง
"ขอยืนยันว่าค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ประจำงวดสุดท้ายของ ปีช่วงเดือนกันยายนถึงธันวาคม 2556 จะไม่ปรับขึ้น โดยยังตรึง เอาไว้เท่าเดิมที่ 46.92 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งเกิดจากการบริหารจัดการค่าไฟฟ้า โดยนำเงินที่เหลือจากกรณีไม่ได้ก่อสร้างโรงไฟฟ้า ตามแผน ซึ่งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) หรือเรกูเลเตอร์ได้เรียกคืนเพื่อมาลดเป็นค่าเอฟทีให้กับประชาชน"