แม้ว่ากระทรวงอุตสาหกรรมไฟเขียวอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ให้กับโรงไฟฟ้าหลายแห่ง แต่ถือว่ายังเกาไม่ถูกที่คัน เพราะควรจะมีการแก้กฎหมายให้โครงการส่งเสริมพลังงานทดแทนได้รับการยกเว้นไม่เข้าข่ายประกอบกิจการโรงงาน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน
หลังจากผู้ประกอบการหลายแห่งออกมาโวยวายการอนุญาตประกอบกิจการโรงงานให้กับโรงไฟฟ้าหลายแห่งเป็นไปอย่างล่าช้า ล่าสุด นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการกลั่นกรองการพิจารณาการอนุญาตโรงงานบางประเภทที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยภายหลังการประชุมเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2556 ว่าที่ประชุมได้พิจารณาอนุญาต 10 ราย วงเงินลงทุน 23,424 ล้านบาท จำนวนนี้มีโรงไฟฟ้า 7 ราย กำลังผลิต 935 เมกะวัตต์
สำหรับโครงการที่ได้รับใบอนุญาตรง.4 ประเภทโรงไฟฟ้า 7 ราย ประกอบด้วย 1.โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 2.เชื้อเพลิงธรรมชาติ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จ.นนทบุรี เงินลงทุน 14,895 ล้านบาท กำลังผลิต 879 เมกะวัตต์ 2.โรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนชลประทาน(เขื่อนแม่กลอง) ของกฟผ. จ.กาญจนบุรี ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ เงินลงทุน 662 ล้านบาท กำลังผลิต 12 เมกะวัตต์ 3.บริษัท โซล่าเทค เอ็นเนอยี จำกัด จ.กำแพงเพชร เงินลงทุน 588 ล้านบาท กำลังผลิต 8 เมกะวัตต์ 4.บริษัท บางจากโซลาร์เอ็นเนอยี จำกัด จ.บุรีรัมย์ เงินลงทุน 2,058 ล้านบาท กำลังผลิต 13 เมกะวัตต์ 5.บริษัท นอร์ธเวสต์ โซล่าร์ จำกัด จ.กำแพงเพชร เงินลงทุน 588 ล้านบาท กำลังผลิต 8 เมกะวัตต์ 6.บริษัท โซล่า เพาเวอร์ (นครพนม 2) อ.ปลาปาก จ.นครพนม เงินลงทุน 560 ล้านบาท กำลังการผลิต 7.5 เมกะวัตต์ 7.บริษัท โซล่า เพาเวอร์(นครพนม 3) อ.ธาตุพนม จ.นครพนม เงินลงทุน 560 ล้านบาท กำลังการผลิต 7.5 เมกะวัตต์ โดยกลุ่มนี้ผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ทั้งหมด
นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติคืนเรื่องกลับให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องพิจารณาชี้แจงทบทวนจำนวน 2 ราย คือ บริษัท สงวนวงษ์ สตาร์ช จำกัด จ.นครราชสีมา ผลิตแป้งมันแปรรูป ลงทุน 334 ล้านบาท และบริษัท ผลิตไฟฟ้าครบุรี จำกัด จ.นครราชสีมา ผลิตไฟฟ้าชีวมวลเชื้อเพลิงชานอ้อย กำลังผลิต 35 เมกะวัตต์ ลงทุน 1,545 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ยังมีโรงงานที่ยื่นขอใบอนุญาตรง.4 มาแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการพิจารณากว่า 200 ราย ซึ่งคณะกรรมการฯได้ส่งเรื่องกลับมายังกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อให้ไปแก้ไขในรายละเอียดของโรงงานใหม่ เพราะเห็นว่า ที่เสนอเข้ามายังมีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และยังไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนในท้องที่
นายณัฐพล กล่าวว่า กรมโรงงานเตรียมยกร่างแก้ไขกฎกระทรวงเพื่อยกเว้นให้การผลิตไฟฟ้าจากระบบพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์ รูฟท็อป) บางประเภทไม่ต้องขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) โดยปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีกำลังการผลิตสูงกว่า 3.7 กิโลวัตต์ เทียบเท่าได้กับเครื่องจักรขนาด 5 แรงงาน จะต้องขอ รง.4 แต่ถ้าต้องให้ผู้สนใจติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อปทุกรายต้องขอ รง.4 อาจเกิดปัญหาความล่าช้าได้ เพราะคาดว่าจะมีผู้ที่ต้องยื่นขออนุญาตจำนวนมาก
ทั้งนี้ กรอ.จะกำหนดเงื่อนไขการพิจารณายกเว้นประเภทโซลาร์ รูฟท็อปที่ไม่ต้องขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน 2 ประเด็น คือ 1.จุดประสงค์ในการติดโซลาร์ รูฟท็อป โดยจะยกเว้นให้กับการติดตั้งเพิ่มผลิตไฟฟ้าใช้ในครัวเรือนและเหลือส่งขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 2.กำลังการผลิตไฟฟ้าที่ไม่เข้าข่ายเชิงพาณิชย์และไม่ต้องขอ รง.4 ซึ่งจะต้องเข้าไปดูเชิงเทคนิคว่ากำลังการผลิตควรอยู่ที่เท่าใด
สำหรับขั้นตอนการยกร่างแก้ไขกฎกระทรวงของ กรอ.คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 เดือนนับจากปัจจุบัน ซึ่งจะต้องพิจารณานโยบายของกระทรวงพลังงานประกอบด้วยว่าเร่งรัดมากน้อยเพียงใด รวมทั้งอาจต้องรอมติครม.ที่จะเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่กำหนดเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์ รูฟท็อป 200 เมกะวัตต์ จากอาคารบ้านเรือนและอาคารธุรกิจในแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก 25% ใน 10 ปี (2555-2564) ที่ปรับปรุงใหม่
อย่างไรก็ตาม ต่อไปการพิจารณา รง.4 ของโซลาร์ รูฟท็อปจะแตกต่างจากการพิจารณาของโซลาร์ ฟาร์ม เพราะการพิจารณาใบอนุญาตของโซลาร์ ฟาร์มจะพิจารณาเหมือนกับโรงไฟฟ้าพลังงานประเภทอื่น โดยปัจจุบันมีคำขอ รง.4 ของโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มที่เตรียมเสนอคณะกรรมการ กลั่นกรองการพิจารณาอนุญาตโรงงานบางประเภทที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่มีนายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน 19 ราย กำลังการผลิตรวม 138.4 เมกะวัตต์ 2.กลุ่มโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กที่ไม่ต้องเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองฯ และอยู่ในการพิจารณาของ กรอ. 8 ราย กำลังการผลิต 4.2 เมกะวัตต์ รวมคำขอทั้ง 2 กลุ่ม มี 27 ราย กำลังการผลิต 142.6 เมกะวัตต์