ก๊าซฯแซง {apos}น้ำมัน-ถ่านหิน{apos} พ่นคาร์บอนไดออกไซด์

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ก๊าซฯแซง {apos}น้ำมัน-ถ่านหิน{apos} พ่นคาร์บอนไดออกไซด์


การประชุมว่าด้วยการเปลี่ยน แปลงภูมิอากาศโลกของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่กรุงวอซอร์ ประเทศโปแลนด์ เมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมจากประเทศต่างๆ กว่า 190 ชาติ เพื่อมุ่งไปสู่การทำข้อตกลงจำกัดอุณหภูมิของโลกไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าระดับในยุคก่อนอุตสาหกรรมเกิน 2 องศาเซลเซียส ภายในปี 2558 โดยใช้วิธีควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะเกิดจากการนำเอาถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ มาเผาเพื่อผลิตพลังงาน
ปัจจุบันแนวโน้มจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อาจทำให้โลกร้อนอีก 4 องศาเซลเซียส หรือมากกว่านี้ ซึ่งจะทำให้เกิดมหาวาตภัย น้ำทะเลหนุนสูงขึ้นจนท่วมแผ่นดิน และเกิดภาวะภัยแล้งขยายวงกว้างออกไป
ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกเล็กน้อย โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ย 1.98 พันตัน คาร์บอนไดออกไซด์ต่อการใช้พลังงาน 1 KTOE ซึ่งเท่ากันกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
เมื่อเทียบกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อ kWh ของประเทศไทยกับต่างประเทศค่าเฉลี่ยของปี 2553 พบว่าไทยมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงกว่ากลุ่มสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ แต่ต่ำกว่าประเทศจีนและประเทศในภูมิภาคเอเชีย
"หากเปรียบเทียบการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของประเทศไทยกับต่างประเทศจากค่าเฉลี่ยในปี 2553 จะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีการปล่อยสูงกว่าประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา เนื่องจากกลุ่มสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ มีการใช้นิวเคลียร์ในการผลิตไฟฟ้า" นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าว
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน แจ้งว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 ประเทศไทยมีแนวโน้มการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นจากการใช้พลังงานทั้งในภาคการผลิตไฟฟ้า ภาคขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม และภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับการใช้พลังงานของประเทศ
ภาคการผลิตไฟฟ้ามีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มสูงสุด 41% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมด มีการปล่อยก๊าซเพิ่มขึ้น 5.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนภาคการขนส่งมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ 27% เพิ่มขึ้น 3.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 23% เพิ่มขึ้น 1.2% และภาคอื่นๆ มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ 9% เพิ่มขึ้น 5.8%
สำหรับเชื้อเพลิงสำคัญที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน/ลิกไนต์ โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 พบว่า น้ำมันสำเร็จรูปและก๊าซธรรมชาติมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ใกล้เคียงกันคือ น้ำมันสำเร็จรูป 39% เพิ่มขึ้น 2.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ก๊าซธรรมชาติ 35% เพิ่มขึ้น 6.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนถ่านหิน/ลิกไนต์ มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 26% ลดลง 2.3%
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมองภาคการผลิตไฟฟ้าพบว่า เชื้อเพลิงสำคัญที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ว่าจะเป็นก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และลิกไนต์มีแนวโน้มสูงขึ้น ส่วนน้ำมันสำเร็จรูปไม่ว่าจะเป็นน้ำมันดีเซล น้ำมันเตา ซึ่งปกติใช้เป็นเชื้อเพลิงสำรองในการผลิตไฟฟ้ามีปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียงเล็กน้อยและค่อนข้างคงที่
ภาคอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้แก่ ถ่านหินและลิกไนต์มีแนวโน้มลดลง ส่วนก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ภาคขนส่งมีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเกิดจากการใช้น้ำมันสำเร็จรูป ได้แก่ น้ำมันเบนซิน ดีเซล น้ำมันเตา น้ำมันเครื่องบิน ปรากฏว่าในช่วง 6 เดือนมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้น้ำมันสำเร็จรูป 29.7 ล้านตัน ทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ คิดเป็น 90% ของปริมาณการปล่อย ก๊าซในภาคขนส่งทั้งหมด ที่เหลือมาจากการใช้ก๊าซธรรมชาติ NGV ซึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้น 10.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจและครัวเรือนเกิดจากการใช้น้ำมันสำเร็จรูปมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้รวม 10.3 ล้านตัน ลดลง 5.8% เนื่องจากปี 2555 ภาคธุรกิจและครัวเรือนกำลังฟื้นตัวจากวิกฤติอุทกภัยส่งผลให้มีการใช้น้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ