เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา ครบกำหนดกระทรวงพลังงานปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) เป็นรอบที่ 4 เดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม ทำให้ราคาก๊าซ LPG ได้ขยับขึ้นไปแล้ว 2 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมราคายืนอยู่ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม เป็นราคาใหม่ 20.13 บาทต่อกิโลกรัม และจะไปสิ้นสุดการปรับราคาในปี 2557 ที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม
คิวต่อไปจะเป็นการปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่งจาก 24.42 บาทต่อกิโลกรัมให้เท่ากับราคา LPG ภาคอุตสาหกรรมประมาณ 29 บาทต่อกิโลกรัม คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่ายรถยนต์ใช้ก๊าซ LPG มากกว่าเดิม โดยแนวโน้มปี 2556 รถยนต์ติดตั้งก๊าซ LPG ลดลงกว่า 30%
นายอภิสิทธิ์ ธนาดำรงศักดิ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายการงานตลาด บริษัท SCG AUTOGAS จำกัด เปิดเผยกับ "สยามธุรกิจ" ว่า สถานการณ์รถยนต์ติดตั้งก๊าซ LPG ในปี 2556 มีแนวโน้มลดลงเหลือเพียงเดือนละ 1 หมื่นคัน จากปี 2555 ที่มียอดการติดตั้งเดือนละ 15. หมื่นคัน สาเหตุมาจากภาครัฐไม่สนับสนุนให้รถยนต์ติดตั้งก๊าซ LPG แล้วช่วงหลังยังจะออกกฎระเบียบห้ามจดทะเบียนรถยนต์ ติดตั้งก๊าซ LPG นอกจากนี้ ยังเตรียมจะปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่งให้ขยับขึ้นอีกด้วย
"ผมมองว่าตลาดรถยนต์ในช่วงนี้อิ่มตัวก็มีส่วนทำให้ตลาดรถยนต์ ก๊าซ LPG ชะลอตัวตามไปด้วย โดยค่ายรถยนต์ที่ใช้กลยุทธ์โปรโมชั่นตลาดแรงๆ เท่านั้นถึงจะกระตุ้นยอดขายได้ ตอนนี้กลุ่มลูกค้าที่ไม่มีความจำเป็นจริงๆ ก็ชะลอการซื้อไว้ก่อน เป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มที่ใช้รถยนต์ติดตั้งแก๊ส LPG จะเป็นกลุ่มที่จำเป็นใช้รถยนต์มากๆ พอสถานการณ์เป็นแบบนี้ก็เลยตัดปัญหาด้วยการนั่งรถโดยสารก่อน รอให้มีรายได้เพิ่มค่อยตัดสินใจ"
ส่วนตลาดรถยนต์ติดตั้งก๊าซธรรมชาติ NGV ก็อยู่ในสภาวะหดตัวเช่นกัน ซึ่งปัจจัยหลักมาจากสถานีบริการ ก๊าซ NGV ไม่เพียงพอกับจำนวนรถยนต์ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ ทำให้การให้บริการก๊าซ NGV ไม่เพียงพอกับลูกค้าที่เพิ่มขึ้น โดยตอนนี้มียอดรถยนต์ ใช้ก๊าซ NGV ลดลง 20% หรือมีปริมาณลดลงเหลือเดือนละ 4 พันคันจากปี 2555 มียอดรถยนต์ใช้ก๊าซ NGV ออกสู่ตลาดเดือนละ 6 พันคัน
"รถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV ส่วนใหญ่เป็นค่ายรถยนต์ผลิตออกมาสนองตอบความต้องการของลูกค้า ราคาขายก็เหมาะสม แต่ปัญหาอยู่ที่สถานีบริการ ก๊าซ NGV ไม่เพียงพอ และภาครัฐ ก็ไม่ สนับสนุนพลังงานทางเลือกประเภทนี้แล้ว"
ด้านนางจินตณา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP ผู้ประกอบธุรกิจค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือก๊าซ LPG ทั้งในและต่างประเทศ ธุรกิจแอมโมเนีย และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี อื่นๆ ภายใต้เครื่องหมายการค้า "สยามแก๊ส" และ "ยูนิคแก๊ส" รวมถึงประกอบธุรกิจลอจิสติกส์ทั้งทางรถและทางเรือ เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายปี 2556 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 3 และจากงวดเดียวกันของปี 2555 เนื่องจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลก สนับสนุนธุรกิจการจำหน่าย ก๊าซ LPG ในต่างประเทศของบริษัทให้มีการเติบโตที่ดีขึ้น
"เทรนด์ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมาราว 2 เดือน ยังคงมีทิศทางที่เติบโตต่อเนื่อง โดยราคาก๊าซ LPG ในเดือนพฤศจิกายน ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และคาดว่าในเดือนธันวาคม ราคาก๊าซ LPG จะสูงขึ้น ได้อีกกว่า 200 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน จึงมีความเป็นไปได้ว่าในไตรมาสสุดท้ายปีนี้จะทำสถิติรายได้ที่เป็น New High อีกครั้ง ซึ่งสูงกว่าไตรมาส 3 ที่มีรายได้ราว 45,616 ล้านบาท{apos}
ทั้งนี้ LPG เป็นก๊าซที่มีส่วนผสมระหว่างก๊าซโพรเพน และก๊าซบิวเทน ซึ่งล่าสุดในเดือนพฤศจิกายนราคาก๊าซโพรเพนอยู่ที่ 875 เหรียญ และก๊าซบิวเทน อยู่ที่ 915 เหรียญ และในเดือนธันวาคม ราคาก๊าซโพรเพนอยู่ที่ 1,100 เหรียญ และก๊าซบิวเทนอยู่ที่ 1,225 เหรียญ
ขณะเดียวกันธุรกิจในประเทศก็มีแนวโน้มเติบโตที่ดีเช่นเดียวกัน จากมาตรการตรวจจับและคุมเข้มของภาครัฐบาล ที่ส่งผลให้การลักลอบซื้อขายก๊าซ LPG ในเขตชายแดนลดน้อยลง รวมถึงจะช่วยป้องกันการลักลอบถ่ายเทก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนไปยังภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม อีกทั้งก่อนหน้านี้รัฐบาลได้มีการทยอยปรับราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนจากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาราคาอยู่ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 เป็นต้นไป เพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง การทยอยปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนดังกล่าวเพื่อให้มีความใกล้เคียงกับราคาก๊าซภาคขนส่งในปัจจุบัน หลังจากนั้นภาครัฐมีแนวโน้มจะปรับให้มีความใกล้เคียงกับราคาตลาดโลกเช่นเดียวกับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้การแข่งขันทางด้านราคาขายนั้นลดน้อยลง ตลาดก๊าซ LPG จะกลับมามีเสถียรภาพมากขึ้น การแข่งขันจะขึ้นอยู่ที่การให้บริการเป็นหลัก
"สยามแก๊สเองมีความมั่นใจในการให้บริการ จากความได้เปรียบของจุดกระจายสินค้าที่มีอยู่ในศูนย์กลางของแต่ละภูมิภาค อีกทั้งยังมีความพร้อมของระบบการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ จากปัจจัยดังกล่าวจะสนับสนุนยอดขายบริษัทให้เติบโตเพิ่มขึ้นได้ และมั่นใจว่ารายได้ทั้งปีจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ไม่ต่ำกว่า 60,000 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 47,751.88 ล้านบาท และคาดว่ากำไรสุทธิจะมีทิศทางเติบโตต่อเนื่อง จากปีก่อนอยู่ที่ 817.05 ล้านบาท"