Toggle navigation
วันอังคาร ที่ 24 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
‘ไบโอพลาสติกฮับ’ วิถีรักษ์โลก วิถีไทย วิถีพลังงาน
‘ไบโอพลาสติกฮับ’ วิถีรักษ์โลก วิถีไทย วิถีพลังงาน
วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557
Tweet
กลายเป็นเรื่องคู่ขนานที่มีทั้งผลดีผลเสียไปแล้วสำหรับมิติของพลังงานและอุตสาหกรรมปิโตรเคมี..
ฉันใดฉันนั้น “อุตสาหกรรมปิโตรเคมี” ได้นำมาซึ่งการโต้เถียงบนเวทีปฏิรูปพลังงานถึงความเหมาะสมในการจัดสรร “แอลพีจี” ที่เป็นทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยเพื่อนำมาป้อนเป็นวัตถุดิบ
ในมุมกลับ คงไม่อาจปฏิเสธว่าอุตสาหกรรมนี้กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ในการดำรงชีวิตไปแล้วแบบไม่รู้ตัว และยังถือเป็นปัจจัยหลักและส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจชาติของประเทศไทย
เนื่องจากจะว่าไปแล้ว ตั้งแต่ตื่นเช้า จนกระทั่งเข้านอน เครื่องใช้ที่เราดำรงชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ แปรงสีฟัน เครื่องสำอาง เสื้อผ้า ถ้วยชามพลาสติก คอมพิวเตอร์ มือถือ ฯลฯ เหล่านี้ล้วนมีองค์ประกอบและผลิตจากปิโตรเคมีทั้งสิ้น
หากย้อนมองกลับไปในอดีต ครั้งแรกคนไทยได้รู้จักอุตสาหกรรมนี้ด้วยการนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติกจากต่างประเทศซึ่งตอนนั้นพลาสติกถือเป็นของใหม่ ใครได้ใช้นับเป็นคนที่ทันสมัย
พลาสติกเข้ามาสู่ชีวิตคนไทยอย่างรวดเร็วเพราะใช้ได้สะดวกกว่าเครื่องใช้ไม้สอยแบบเดิมที่ส่วนใหญ่ทำจากวัสดุธรรมชาติ ความนิยมพลาสติกทำให้เกิดการตั้งโรงงานพลาสติก ทั้งโรงอัด โรงเป่า โรงฉีด จนถึงการผลิตเองแบบง่ายๆ ใช้ในครัวเรือน เช่น ถุง ถัง กะละมัง ถ้วยชาม ตะเกียบ การใช้พลาสติกมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วทำให้การนำเข้าเม็ดพลาสติกสูงขึ้นตามไปด้วย
จุดเปลี่ยนสำคัญของความนิยมของอุตสาหกรรมพลาสติก เกิดขึ้นภายใต้วิกฤตการณ์น้ำมันโลก 2 ครั้ง โดยครั้งแรก ปี พ.ศ.2516 และครั้งที่ 2 ปี พ.ศ.2522
วิกฤติทั้งสองครั้งมีผลให้ราคาน้ำมันแพง และบางช่วงเกิดการขาดแคลน กระทบไปถึงเม็ดพลาส-ติกทั่วโลก ทำให้มีราคาสูงขึ้นอย่างมากและมีการขาดแคลนในบางช่วงเช่นเดียวกัน
ด้วยสาเหตุนี้จึงเป็นที่มาให้รัฐบาลขณะนั้นได้ตระหนักถึงความสำคัญที่จะต้องมีโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกในไทย!
การพัฒนาดังกล่าวคงเกิดขึ้นไม่ได้หากไทยไม่ได้ค้นพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่มีคุณสมบัติพิเศษเป็นชนิดเปียก (Wet Gas) ที่มีองค์ประกอบสารไฮโดรคาร์บอนที่จะนำมาผลิตปิโตรเคมีได้
รัฐบาลสมัย “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” จึงกำหนดเป้าหมายที่จะใช้ก๊าซฯ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและต้องการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจไปพร้อมๆ กัน นั่นเป็นเหตุผลที่ได้เกิดการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกผ่านโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด ด้วยการนำอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมาขับเคลื่อนการจ้างงานและรายได้
ด้วยนโยบายดังกล่าวโรงแยกก๊าซธรรมชาติแห่งแรกซึ่งลงทุนโดยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย หรือ บมจ.ปตท. ปัจจุบัน จึงถือกำเนิดขึ้นในปลายปี 2528
พร้อมกันนี้ ปตท. ได้เป็นแกนนำในการตั้ง บริษัท ปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด (NPC) เพื่อดำเนินโครงการโรงโอเลฟินส์ ผลิตเอทิลีน และโพรพิลีน ที่มาบตาพุด จ.ระยอง ซึ่งใช้วัตถุดิบจากโรงแยกก๊าซฯ และนี่คือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาปิโตรเคมีต้นน้ำหรือเป็นอุตสาหกรรมปิโตรเคมีระยะแรก จนปัจจุบันก้าวสู่การพัฒนาระยะที่ 3 (ปี 2547-2561)
กว่า 20 ปีอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้เติบโตตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ และมีบทบาทก่อให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากมายตามมาไม่ว่าจะเป็น บรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์ ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ ซึ่งถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากก๊าซธรรมชาติ 8-40 เท่า
นอกจากนี้ ยังช่วยทดแทนการนำเข้าวัตถุดิบปิโตรเคมีและสร้างรายได้จากการส่งออกรวมปัจจุบันไม่น้อยกว่า 7-8 แสนล้านบาทต่อปี ก่อให้เกิดการจ้างงานในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง 2-3 แสนคน อุตสาหกรรมปิโตรเคมียังก่อให้เกิดโรงงานปิโตรเคมีจนถึงขึ้นรูปพลาสติกกว่า 3,000 แห่ง และยังไม่รวมโรงงานที่ต่อเนื่องกับพลาสติกอีกจำนวนนับหมื่นแห่ง ทำให้วันนี้ภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศมีความเข้มแข็งสามารถก้าวสู่เวทีตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีล่าสุดกระแสโลกมีความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นทำให้อุตสาหกรรมพลาสติกจากปิโตรเคมีถูกพัฒนาให้ก้าวสู่ “อุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ” (Bioplastic)
ความต้องการพลาสติกชีวภาพในตลาดโลกเริ่มมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นเนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยพลาสติกชีวภาพผลิตจากวัสดุจากธรรมชาติ เช่น น้ำตาล ข้าวโพด มันสำปะหลัง เป็นต้น ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีการปลูกกันมาก พลาสติกชีวภาพนั้น สามารถย่อยสลายได้โดยธรรมชาติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
การพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพใหม่ๆ ยังเกิดขึ้นอีกมากมายโดยเฉพาะพลาสติกที่ต้องการความคงทนสูง เช่น อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ รวมทั้งการผลิตชิ้นส่วนพลาสติกชีวภาพเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกดังกล่าว ทำให้สถาบันพลาสติก กระทรวงอุตสาหกรรมมี นโยบายที่จะสนับสนุนและส่งเสริมให้อุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ เป็นคลื่นลูกใหม่สร้างประเทศไทยให้เป็น “ไบโอพลาสติกฮับ” ของภูมิภาค
ดังนั้น อนาคตพลาสติกที่ผลิตจากปิโตรเลียมที่นับวันจะหมดลงไปจากโลกจะค่อยๆ ถูกทดแทนจากพลาสติกชีวภาพที่วัตถุดิบสามารถปลูกขึ้นใหม่ทดแทนได้และยังรักษาสิ่งแวดล้อมซึ่งจะส่งผลให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทยไม่อาจหยุดนิ่งในการพัฒนาได้เช่นกันด้วยเพราะอุตสาหกรรมนี้ยังคงต้องรับใช้วิถีชีวิตคนไทยและยังมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ ที่นำมาซึ่งการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจให้เติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน
และได้รับการรับลูกจาก คสช.ที่เปิดไฟเขียวส่งเสริมและเตรียมอนุมัติตั้งโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพในไทยในช่วงต้นปี 2558
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
The Associated Press
“พิชัย” เปิดงาน “Crafts Bangkok 2025” หน...
...
TFBO 2025 ปิดฉากสวย ยอดผู้เข้าชมทะลุหมื่...
...
บราโว บีเคเค-โซเชียลแบรนด์ จับมือ ม.เกริ...
...
เริ่มแล้ว! Kind + Jugend ASEAN 2025 งานแ...
...
"ยูนิเอ็กซ์ เอ็กซโป" ชี้ ตลาดอีคอมเมิร์ซ...
...
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ