นับถอยหลังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เตรียมต้อนรับหุ้นไอพีโอน้องใหม่ป้ายแดง บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) (BKGI) ผู้ให้บริการถอดรหัสพันธุกรรมครบวงจร และถือเป็นหุ้นไบโอเทคตัวแรกของไทยที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 20 มีนาคม 2567
“BKGI ถือเป็นหุ้น Bio Technologyรายแรกของไทยที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และเป็นบริษัทที่มีความน่าสนใจ เพราะนำเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยที่ได้รับการถ่ายทอดจากกลุ่ม BGI ผู้ถือหุ้นรายใหญ่จากจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการถอดรหัสพันธุกรรมของโลกมาใช้ในการให้บริการ ทำให้ผลการวิเคราะห์ต่างๆ ของบริษัทมีความแม่นยำสูง” นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ BKGI ให้ความเห็น
+++ธุรกิจอยู่ในเมกะเทรนด์
ธุรกิจของ BKGI อยู่ในอุตสาหกรรมสุขภาพ ซึ่งอยู่ในเมกะเทรนด์ ถือเป็นธุรกิจแห่งอนาคตที่จะเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด เพราะสังคมไทยอยู่ในยุคสังคมผู้สูงวัยเต็มรูปแบบ และที่สำคัญจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึงโรคอุบัติใหม่ที่เกิดขึ้นทำให้คนทั่วโลก หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลใส่ใจสุขภาพมากขึ้น การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจะทำให้ชื่อเสียงขององค์กร และแบรนด์ของ BKGI เป็นที่ยอมรับ อีกทั้งยังช่วยเสริมฐานทุนให้มีความแข็งแกร่ง รองรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคต
+++ไร้หนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย-มาร์จิ้นสูง
นอกจากนี้ BKGI ยังมีฐานะทางการเงินที่มีความแข็งแกร่ง ไร้หนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย โดยในสิ้นปี 2566 อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 0.24 เท่า
ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรอยู่ในระดับสูง เห็นได้จากอัตรากำไรขั้นต้นจากการให้บริการในสิ้นปี 2566 อยู่ที่ 47.31 % อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 13.00 % และเชื่อว่าหลังการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนแล้ว จะทำให้มีแหล่งเงินทุน ช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
+++พันธมิตรยักษ์ใหญ่ระดับโลก
BKGI เกิดจากความร่วมมือระหว่างกลุ่ม BGI ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการถอดรหัสพันธุกรรมของโลกมาร่วมก่อตั้งกับกลุ่มผู้ถือหุ้นคนไทย โดยกลุ่ม BGI นำเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยมาถ่ายทอดให้กับ BKGI รวมทั้งตั้งใจให้ BKGI เป็น Flagship ของกลุ่ม BGI ในประเทศไทย
+++ราคาเข้าถึงได้-เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย
สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดแข็งของบริษัท เพราะ กลุ่ม BGI เป็นเจ้าของเทคโนโลยี ทำให้ราคาสามารถแข่งขันในตลาดได้ และอนาคตจะเป็นราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ การนำ BKGI เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นการสื่อสารให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างว่าธุรกิจนี้ดีอย่างไร เพื่อใช้บริการการแพทย์จีโนมิกส์ไปดูแลสุขภาพให้ดีมากขึ้น
“การเข้าระดมทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน รองรับแผนการขยายธุรกิจการแพทย์จีโนมิกส์ (Genomics) หรือการวิเคราะห์ลำดับพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต เพื่อให้เข้าใจกลไกของชีวิตเชิงลึก ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคทางพันธุกรรม รวมทั้งการวางแผนดูแลสุขภาพชีวิต เพื่อป้องกันและรักษาโรคอย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.เสาวลักษณ์ ด่านสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BKGI กล่าว
+++ผลการดำเนินงานโตแกร่ง
สำหรับปี 2562 - 2564 บริษัทฯมีรายได้จากการให้บริการตรวจคัดกรองความผิดปกติทางพันธุกรรมด้านอนามัยการเจริญพันธุ์จำนวน 105.78 ล้านบาท จำนวน 110.22 ล้านบาท และจำนวน 140.63 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการตรวจคัดกรองหาลักษณะความผิดปกติของโครโมโซมทารกในครรภ์จากเลือดมารดา ภายใต้แบรนด์ NIFTY เป็นรายได้หลัก คิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ยประมาณ 99.00% ของรายได้จากการให้บริการตรวจคัดกรองความผิดปกติทางพันธุกรรมด้านอนามัยการเจริญพันธุ์
โดยสาเหตุที่บริการประเภทนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง มาจากการที่ภาครัฐและเอกชนร่วมมือในการให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับประโยชน์และความจำเป็นในการเข้ารับบริการตรวจคัดกรองหาลักษณะความผิดปกติของโครโมโซมทารกในครรภ์จากเลือดมารดา และภายใต้แบรนด์ NIFTY ซึ่งเป็นแบรนด์จากกลุ่ม BGI ทำให้บริษัทฯ ได้รับความเชื่อถือจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทมีรายได้จากการให้บริการตรวจคัดกรองความผิดปกติทางพันธุกรรมด้านอนามัยเจริญพันธุ์ จำนวน 207.11 ล้านบาท คิดเป็น 85.80% ของรายได้จากการให้บริการ เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า คิดเป็นอัตราเติบโต 25.66% เนื่องจากในปี 2565 ได้มีการทำการตลาดเกี่ยวกับการบริการมากขึ้น ส่งผลให้บริการดังกล่าวเริ่มเป็นที่รู้จักในตลาดเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยอดขายได้ในส่วนนี้เติบโตขึ้นจากเดิม โดยในปี 2566 บริษัทฯมีกำไรสุทธิจำนวน 32.14 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 13%
+++การให้บริการครอบคลุมทุกช่วงอายุ
ทั้งนี้ การให้บริการตรวจพันธุกรรมของ BKGI เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ครอบคลุมทุกช่วงอายุในราคาที่เข้าถึงได้ โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงเตรียมความพร้อมก่อนการสมรสและการตั้งครรภ์ โดยการตรวจคัดกรองพาหะของโรคทางพันธุกรรม ภายใต้แบรนด์ “VISTA” ช่วงระหว่างตั้งครรภ์ โดยการตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมทารกในครรภ์จากเลือดมารดา ภายใต้แบรนด์ “NIFTY” ช่วงวัยทารกแรกเกิด โดยการตรวจคัดกรองโรคทางพันธุกรรม ภายใต้แบรนด์ “NOVA” ช่วงวัยแห่งการเจริญเติบโตจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ โดยการตรวจคัดกรองอื่นๆ ภายใต้แบรนด์ “BGI-Xome” ครอบคลุมไปจนถึงวัยชราที่สามารถทำการตรวจคัดกรองยีนส์ที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง ภายใต้แบรนด์ “SENTIS” และการตรวจคัดกรองยีนส์ที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงระยะเริ่มต้น ภายใต้แบรนด์ “COLOTECT” นอกจากนี้ ยังมีการตรวจวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมเฉพาะบุคคลอย่างละเอียด ภายใต้แบรนด์ “DNALL” เพื่อนำข้อมูลรหัสทางพันธุกรรมมาวิเคราะห์ในด้านต่างๆ เช่น การพยากรณ์ความเสี่ยงของโรคทางพันธุกรรม และการวางแผนการใช้ชีวิตประจำวัน เป็นต้น
+++BGI ปักธง ใช้ไทยเป็น Hub บุกอาเซียน
ขณะที่นายเสี่ยวฮาน หวาง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) (BKGI) กล่าวว่า กลุ่ม BGI พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการถอดรหัสพันธุกรรมให้กับ BKGI อย่างเต็มที่ และไม่มีนโยบายเข้ามาแข่งขันในตลาดไทย
อีกทั้งยังมีแผนใช้ไทยเป็น Hub เพื่อขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากไทยมีนโยบาย Medical Hub ซึ่งกลุ่ม BGI มองว่าเป็นโอกาสการขยายธุรกิจ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มผู้ถือหุ้นของ BKGI ที่เป็นคนไทย พร้อมทำงานร่วมกัน เพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต
นอกจากนี้ โครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย ซึ่งเป็นโครงการวิจัยด้านสุขภาพของภาครัฐที่มีการรวบรวมและสร้างฐานข้อมูลพันธุกรรมขนาดใหญ่ของคนไทย โดยดำเนินการถอดรหัสพันธุกรรมทจีโนมของประชากรไทย จำนวน 50,000 ราย ในช่วงเวลา 5 ปี (2563-2567) ซึ่งโครงการนี้ได้นำแพลตฟอร์มของ BGI มาใช้ในการดำเนินการ
ทั้งนี้ BGI Shenzhenก่อตั้งขึ้นในปี 2551 โดยผู้ก่อตั้ง Mr. Wang Jian มีส่วนร่วมในโครงการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ เมื่อปี 2542 โดย BGI Shenzhen ตั้งอยู่ในเมืองเสิ่นเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน มีพนักงานมากกว่า 10,000 คน กระจายกว่า 100 ประเทศทั่วโลก มีงานวิจัยตีพิมพ์มากกว่า 3,000 ฉบับ และได้รับสิทธิบัตรมากกว่า 1,700 ฉบับ