นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ BLA กล่าวว่า จากแผนในปี 2568 ของกรุงเทพประกันชีวิตเรามีแผนสร้างการเติบโตทางธุรกิจทุกช่องทาง โดยการทำงานจะให้ความสำคัญกับการผลักดันวิสัยทัศน์ใหม่ในเรื่องความ “ใส่ใจ” ภายใต้ธีม ‘2025 The Year of Care’ ส่งผลให้ดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ปี 68 บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวมจำนวน 9,310 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรับปีแรกจำนวนทั้งสิ้น 2,110 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 32 จากไตรมาส 1 ของปี 2567 และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไปจำนวน 7,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาสนี้บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,189 ล้านบาท โดยบริษัทมีกำไรจากการประกันภัยคิดเป็นร้อยละ 80 ของกำไรสุทธิก่อนภาษี
สำหรับเบี้ยประกันภัยรับปีแรกที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 32 นั้น เป็นผลจากช่องทางธนาคารที่มีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการพัฒนาความร่วมมือระหว่างองค์กรรวมถึงการเปิดตัวแบบประกันสะสมทรัพย์ใหม่ “เกนเฟิสต์ เซฟวิ่งส์ เท็นเอกซ์ 15/10” (Gain1st Saving 10X) เพื่อเจาะกลุ่มคนทำงานโดยเฉพาะผู้บริหารและเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่ที่ต้องการสร้างความมั่นคงผ่านการวางแผนการเงิน อีกทั้งช่องทางตัวแทนเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการจัดทำแคมเปญและสร้างกิจกรรมเพื่อการพัฒนาตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน นอกจากนี้ ในช่องทางอื่นๆ โดยมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกเพิ่มขึ้นร้อยละ 458 โดยบริษัทฯ มีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบ่งตามช่องทางจำหน่าย ดังนี้ ช่องทางธนาคารสัดส่วนร้อยละ 60 ช่องทางตัวแทนร้อยละ 23 และช่องทางอื่นๆ ร้อยละ 17
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ VONB มาจากยอดขายผ่านช่องทางตัวแทนฯ เป็นหลัก โดยเฉพาะการขายสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ ที่ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นจากการประกาศใช้แนวปฏิบัติประกันสุขภาพแบบมีส่วนร่วมจ่าย หรือ Copayment ขณะเดียวกันตัวแทนฯ ของบริษัทฯ ยังสามารถนำเสนอขายผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนและมีมูลค่าสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (APE) อยู่ที่ 3,718 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
กำไรสุทธิในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ของบริษัทฯ หลังจากปรับใช้มาตรฐานบัญชีฉบับใหม่ ยังสูงถึง 2,683 ล้านบาท เทียบเท่ากับอัตรากำไรสุทธิ หรือ Net Profit Margin ที่ 20.4% แม้จะมีผลกระทบบางส่วนจากการเปลี่ยนแปลงการจัดประเภทการลงทุน แต่บริษัทฯ ยังมีกำไรจากการรับประกันภัยเป็นหลัก อยู่ที่ 2,428 ล้านบาท
สำหรับกำไรในส่วนที่ไม่รวมรายการพิเศษและผลกระทบจากความผันผวนของตลาด สูงถึง 2,752 ล้านบาท เติบโต 4.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรจากการลงทุนที่ไม่รวมรายการพิเศษ และผลกระทบจากความผันผวนของตลาดยังคงมีความมั่นคง สอดคล้องกับกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นการเติบโตที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมของบริษัท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 เท่ากับ 314,173 ล้านบาท ลดลงจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ร้อยละ 0.4 หรือเท่ากับ 1,233 ล้านบาท จากการลดลงของเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจากกรมธรรม์ที่ครบกำหนด ทั้งนี้ สินทรัพย์ลงทุนและรายการเทียบเท่าเงินสดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 97 และบริษัทมีอัตราความเพียงพอของเงินกองทุน ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 480 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 441 ณ สิ้นปี 2567 ซึ่งสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ร้อยละ 140
