นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่อยู่อาศัยทุกกลุ่ม (รวมโครงการ JV) ทั้งสิ้นกว่า 3,561 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากงวดเดียวกันของปีก่อนโดยเป็นโครงการร่วมทุน (JV) 2,568 ล้านบาท ส่วนยอดขาย (Presale) รวม 8,027 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียม ภายใต้ ORIGIN VERTICAL อยู่ที่ 6,860 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 85% และเป็นยอดขายจากบ้านแนวราบ ภายใต้ BRITANIA อยู่ที่ 1,167 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15%
ในจำนวนยอดขาย 8,027 ล้านบาท แยกเป็นยอดขายจากโครงการที่บริษัทฯพัฒนา (Non- JV) ประมาณ 5,045 ล้านบาท และยอดขายจากกลุ่มโครงการร่วมทุน (JV) กับพาร์ทเนอร์ ประมาณ 2,982 ล้านบาท และเป็นรายได้มาจากโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Ready to move) มีทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแฝดกระจายทำเลทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองหลักในต่างจังหวัดประมาณ 4,395 ล้านบาท และ มาจากโครงการที่เปิดขายใหม่และอยู่ระหว่างดำเนินการ (Ongoing) ประมาณ 3,633 ล้านบาท
โดยในไตรมาส 1/2568 บริษัทฯเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม ภายใต้ ORIGIN VERTICAL โครงการ So Origin Sukhumvit 105 (โซ ออริจิ้น สุขุมวิท 105) คอนโดฯใหม่ใกล้ BTS สถานีแบริ่งเพียง 200 เมตร* ตัวโครงการออกแบบภายใต้แนวคิด “Modern Classic Timeless Design” ซึ่งสะท้อนความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์ SO ORIGIN ผสานศิลปะการออกแบบและฟังก์ชันที่เหนือระดับเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง “สะท้อนตัวตน” ให้กับผู้อยู่อาศัยได้เปิดประสบการณ์การอยู่อาศัยระดับพรีเมียมในทำเลคุณภาพ และ โครงการบ้านแนวราบ ภายใต้ BRITANIA โครงการ Britania Pracha Uthit 90 (บริทาเนีย ประชาอุทิศ 90) บ้านเดี่ยว 2 ชั้น พัฒนาด้วยแนวคิด Endless Happiness Living with Nature นิยามใหม่แห่งการใช้ชีวิต ท่ามกลางธรรมชาติที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งมาพร้อมกับแบบบ้านสไตล์ Road to Norwich ลงตัวทุกสัดส่วนออกแบบอย่างใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อรองรับชีวิตคนยุคใหม่อย่างแท้จริง
ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 บริษัทมีแบ็คล็อค (Backlog) รวม 45,389 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง 5 ปี ทั้งนี้บริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมที่จะแล้วเสร็จใหม่ในไตรมาส 2/2568 จำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5,700 ล้านบาท ซึ่งมี Backlog แล้วกว่า 4,000 ล้านบาท และในครึ่งหลังของปี 2568 มีโครงการคอนโดมิเนียมที่จะทยอยโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มใหม่อีกจำนวน 7 โครงการ ซึ่งมี Backlog แล้วกว่า 6,600 ล้านบาท