“ไมเนอร์ ฟู้ด” ชี้ ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มกำลังฟื้น จำต้องปรับตัวตามสภาวะ ศก. และพฤติกรรมผู้บริโภค ลุยต่อแผน “Passion for Growth” รุกโมเดลแฟรนไชส์ มุ่งขยายสาขาต่างประเทศ นำร่องปักหมุดอินโด ต่อ อินเดีย ตั้งเป้าภายในปี 5 ปี ทะลุ 4,500 สาขา ทั่วโลก

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2568

“ไมเนอร์ ฟู้ด” ชี้ ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มกำลังฟื้น จำต้องปรับตัวตามสภาวะ ศก. และพฤติกรรมผู้บริโภค ลุยต่อแผน “Passion for Growth” รุกโมเดลแฟรนไชส์ มุ่งขยายสาขาต่างประเทศ นำร่องปักหมุดอินโด ต่อ อินเดีย ตั้งเป้าภายในปี 5 ปี ทะลุ 4,500 สาขา ทั่วโลก


นายธันยมอร์เชษฐ์ เอกเวชวิท ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มครึ่งปีหลัง 68 นี้ สำหรับในตลาดเมืองไทยคาดยังคงเติบโตได้ดีอยู่ เนื่องจากเรื่องของอาหารคนยังต้องรับประทานอาหารกันทุกมื้อ เพียงแต่จะเริ่มเลือกมากขึ้น มองหาความคุ้มค่าในการที่จะได้รับประทานอาหารที่ดีและคุ่มค่ากับราคาที่จ่ายไป ดังนั้นธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในไทยรวมถึงทั่วโลกอยู่ในช่วงฟื้นตัวและยังมีช่องทางขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันพฤติกรรมผู้บริโภคยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้ทำให้ภาคธุรกิจต้องมีการปรับตัวให้ทันอยู่เสมอ ก็จะสามารถทำให้ธุรกิจยังคงเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับ ไมเนอร์ ฟู้ด เอง เราได้เดินหน้ากลยุทธ์ “Passion for Growth” เพื่อขับเคลื่อนสร้างการเติบโตให้องค์กร ตลอดช่วงปี 2568-2572 โดยมุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับโมเดลธุรกิจ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรแฟรนไชส์ในตลาดศักยภาพทั่วโลก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการลงทุนและผลตอบแทน โดยครึ่งปีแรกเราเติบโตอยู่ที่ 30 % และทั้งปีนี้เรามั่นใจว่าจะสามารถสร้างรายได้เติบโตได้ในตัวเลข ดับเบิล ดิจิตส์ สำหรับ ไมเนอร์ ฟู้ด เอง มีสัดส่วนสร้างรายได้ให้กับบริษัทไมเนอร์รวมทั้งหมดอยู่ที่ 20 % ปัจจุบัน ไมเนอร์ ฟู้ด มีพอร์ตธุรกิจมากกว่า 30 แบรนด์ และร้านค้ากว่า 2,700 สาขาใน 24 ประเทศ โดยเป็นร้าน แฟรนไชส์ จำนวน 1,300 สาขา หรือคิดเป็น 48% แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของโมเดลธุรกิจแฟรนไชส์ในอนาคต”

สำหรับกลยุทธ์การขยายธุรกิจร้านอาหารของ ไมเนอร์ ฟู้ด จะมุ่งดำเนินงานผ่าน 3 แกนหลัก ประกอบด้วย

●           ขยายแบรนด์แฟรนไชส์ในประเทศไทยให้ครอบคลุมมากขึ้น ด้วยแบรนด์ที่ได้รับความนิยมเช่น บอนชอน (Bonchon) แดรี่ควีน (Dairy Queen) และ กาก้า (GAGA) เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคทั่วประเทศที่เพิ่มขึ้น พร้อมพัฒนาร้านฟอร์แมทใหม่ เช่น Dairy Queen stand-alone modular store ที่เปิดร่วมกับร้านสะดวกซื้อที่มีที่จอดรถ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการความสะดวกสบาย ใกล้กับที่อยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น

●           ผลักดันการขยายสาขาในต่างประเทศ โดยจะมุ่งโฟกัสไปยัง ประเทศอินโดนีเซียก่อนเพราะเป็นตลาดที่มีศัพยภาพมากตอนนี้ โดนเราได้รุกขยายสาขา แดรี่ ควีน (Dairy Queen) 38  สาขา  และ  และ กาก้า (GAGA) 32 สาขา แล้วในตอนนี้ รวมถึง ประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ประเทศเพื่อนบ้าน CLMV และภูมิภาคตะวันออกกลาง อย่างประเทศอินเดีย เป็นต้น ด้วยแบรนด์หลัก เช่น เดอะ พิซซ่า คอมปะนี (The Pizza Company) สเวนเซ่นส์ (Swensen’s) ซิซซ์เล่อร์ (Sizzler) และ เดอะ คอฟฟี่ คลับ (The Coffee Club)   

●           การพัฒนาและขยายแบรนด์ใหม่ ที่ตอบโจทย์เทรนด์อาหารที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ผ่านการพัฒนาเอง การร่วมลงทุนกับพันธมิตร รวมถึง การเข้าซื้อแบรนด์ที่มีศักยภาพ  ตัวอย่างเช่น การเปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ เดอะ สเต็ก แอนด์ มอร์ (The STEAK & MORE) ที่ไมเนอร์ ฟู้ด พัฒนาขึ้นมาเอง เพื่อมาตอบโจทย์ลูกค้าที่ชอบรับประทานสเต็กรสชาติเข้มข้น ในราคาที่คุ้มค่าและเข้าถึงได้ง่าย  

“โดยภายใน 5 ปี หรือในปี 2572 ไมเนอร์ ฟู้ด ตั้งเป้ามีจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มรวมทั้งสิ้นกว่า 4,500 ร้าน ซึ่งเป็นร้านแฟรนไชส์จำนวนกว่า 2,500 ร้าน หรือคิดเป็น 56% ของพอร์ตธุรกิจทั้งหมด ตอกย้ำว่ากลยุทธ์ดังกล่าวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยยกระดับแบรนด์ในเครือสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก พร้อมการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น พนักงาน ลูกค้า รวมทั้งพันธมิตรแฟรนไชส์ และ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายอย่างแท้จริง” นายธันยเชษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ