โดย ดร.ไพโรจน์ ชัยจีระธิกุล อดีตประธานสหพันธ์การขนส่งทางรถบรรทุกแห่งอาเซียน
4 เดือนของรัฐบาลอนุทินสำหรับกระทรวงคมนาคม เป็นเวลาที่สั้นมากและถูกมองว่าโครงการส่วนใหญ่ของกระทรวงฯต้องใช้งบประมาณมหาศาลและใช้ระยะเวลานาน จึงไม่สามารถทำอะไรได้มาก แต่สำหรับ “คนนอก” เล็งเห็นว่า รัฐบาลนี้ได้เปิดโอกาสให้มี “รัฐมนตรีคนนอก” ที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์เฉพาะด้านเข้ามาช่วยบริหารประเทศ เป็นการเปิดกว้างให้ “คนนอก” ภาคการเมือง ที่มีอุดมการณ์เข้ามามีบทบาทในการช่วยสนับสนุนให้ประเทศชาติมีความเข้มแข็ง และ ระยะเวลา 4 เดือนนี้เอง อาจจะเป็นโอกาสทองในการสร้าง นโยบาย Quick Big Win หรือ นโยบายที่สามารถสร้างผลลัพธิ์อย่างยิ่งใหญ่ในระยะเวลาอันสั้น และอาจจุดประกายโครงการพัฒนาประเทศที่ประชาชนเห็นผลได้จริง จากส่วนผสมทางการเมืองที่ลงตัวของรัฐบาลอนุทิน
การคมนาคมขนส่งอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน ต้นทุนและเวลาที่เสียไปในแต่ละวัน ก็มีส่วนมาจากการเดินทางและคมนาคมขนส่งแทบทั้งสิ้น ดังนั้นการลดรายจ่าย การเพิ่มรายได้ การเพิ่มผลิตภาพ(Productivity) ของการใช้ชีวิตและธุรกิจ ย่อมเกี่ยวกับการวางนโยบาย การบริหารจัดการระบบขนส่งและจราจรที่มีประสิทธิภาพ มีประสิทธิผล อัจฉริยะและมองประชาชนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง
ที่ผ่านมากระทรวงคมนาคม ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทย มีโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมากพอสมควรแล้ว แต่ยังขาด “สมองดิจิทัล” ก็คือศูนย์ควบคุมที่ใช้ข้อมูลเรียลไทม์ วิเคราะห์ สั่งการ และปรับระบบให้ทำงานฉลาดขึ้น หากจะเปรียบเทียบ ถ้า “ถนน-รถไฟ-สนามบิน-ท่าเรือ” คือ ร่างกายของการคมนาคม แล้ว สมองดิจิทัล ก็คือ ศูนย์ควบคุมและสั่งการที่ใช้ข้อมูลทั้งหมดเพื่อให้ร่างกายนี้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ เราจะต้องเปลี่ยนจากระบบที่รัฐเป็นศูนย์กลาง มาเป็นระบบที่ประชาชนเป็นศูนย์กลาง (People-centric Policy) อย่างเป็นรูปธรรม
ระบบที่ประชาชนเป็นศูนย์กลาง เริ่มจากความต้องการของประชาชน และใช้ข้อมูลจากประชาชนมาช่วยกำหนดนโยบาย การบริการและการลงทุนของรัฐ ซึ่งหากประเทศไทย ไม่ได้พัฒนา สมองดิจิทัล และ ระบบที่ประชาชนเป็นศูนย์กลาง เมื่อเทียบกับประเทศชั้นนำอื่นๆ แล้ว ประเทศเราจะค่อยๆ ถูกทิ้งห่างทางเศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยี จนยากที่จะตามทันโลกในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เนื่องจาก เราจะเป็นเพียงแค่ประเทศที่มีถนนเพิ่มขึ้น แต่ความฉลาดของระบบและผลิตภาพของประชาชนจากการใช้ระบบไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ที่มาของแนวคิดนี้ต้องให้เครติดกับนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาลลุงตู่ (ผนวกกับวิวัฒนาการของ Industry 4.0 สู่ Industry 5.0 และความต้องการในปัจจุบันของประชาชนรวมถึงรัฐบาลที่อยากมีระบบคมนาคมขนส่งที่ดีกว่าเดิม) จนกลายมาเป็นการออกแบบนโยบาย Transport 5.0 หรือ ข้อเสนอ “คมนาคม 5.0” ถึงรัฐบาลอนุทิน ซึ่งจะเป็นการต่อยอดและอัปเกรดจาก “ระบบดิจิทัล” ไปสู่ “ระบบที่เข้าใจมนุษย์และมีความยั่งยืน”มากขึ้น
คมนาคม 5.0 เป็นการใช้เทคโนโลยี โดยใส่สมองให้ระบบที่มีอยู่ โดยไม่ต้องสร้างทางกายภาพเพิ่มมากมาย แต่ทำให้สิ่งที่มีทำงานอย่างฉลาดมากขึ้น เชื่อมโยงบูรณาการกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม คมนาคม 5.0 ก็ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือ เรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน รัฐต้องปรับตัวเข้ากับประชาชนมากขึ้น โดยการที่จะเป็นคมนาคม 5.0 ได้ก็จะต้องพัฒนารากฐานที่ดีมาจาก คมนาคม 1.0-4.0 นั่นคือ การยกระดับและบูรณาการทุกยุคเข้าด้วยกัน เพราะคมนาคม 1.0-4.0 คือ ร่างกายของระบบ ส่วนคมนาคม 5.0 คือ สมองของระบบนั่นเอง โดยคมนาคม 5.0 จะสามารถเป็น นโยบาย Quick Big Win ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากไม่ได้เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้ระยะเวลาหลายปีในการสร้าง แต่เป็นการใช้สมองและข้อมูล ทำให้สิ่งที่มีอยู่แล้วดีขึ้นได้ภายในไม่กี่เดือน และยังเป็นการลงทุนที่ใช้ต้นทุนต่ำ แต่ได้ผลลัพธ์สูง ทำให้ประชาชนรวมถึงนักท่องเที่ยวเดินทางง่ายขึ้น ปลอดภัยขึ้น ประหยัดเวลาขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจเกิด Startup ธุรกิจใหม่ๆ ลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศ ที่สำคัญจะเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดที่จะแสดงศักยภาพของรัฐบาลอนุทินและอาจมีผลต่อคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
แล้วจะทำให้นโยบาย “คมนาคม 5.0” เป็นรูปธรรมได้อย่างไร? คงต้องเริ่มต้นจาก การที่ผู้บริหารกระทรวงและรัฐบาลเปิดใจที่จะยอมรับสิ่งใหม่ๆ ยอมรับการมีคณะทำงาน คณะผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษา ที่เป็น “คนนอก” ภาคการเมือง เข้ามามีบทบาทช่วยสนับสนุนการทำงาน การวางรากฐานที่สำคัญในการพัฒนา การบูรณาการระหว่างกระทรวงและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมี Roadmap และแผนการขับเคลื่อนคมนาคม 5.0 ที่สามารถปฏิบัติได้จริง ซึ่งหากผู้บริหารกระทรวงเห็นความสำคัญของนโยบายดังกล่าว สิ่งเหล่านี้ก็คงไม่เกินความคาดหมาย
ถ้าทำได้จริง คนไทยก็คงมีความหวังกับ 4 เดือนนี้ ไม่ใช่เพียงแต่ตั้งรัฐบาลมาเพื่อยุบสภา แต่ 4 เดือนนี้ อาจจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยในหลายมิติ การเปลี่ยนผ่านจากคมนาคมแบบเดิม สู่ระบบที่ “ฉลาด เข้าใจคน และเหมาะสำหรับการเดินทางของทุกคน” เพื่อให้ 4 เดือนนี้ เป็น 4 เดือนที่ “มีคุณค่าสำหรับประชาชนคนไทย และเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติอย่างแท้จริง”
ทั้งนี้ ดร.ไพโรจน์ ชัยจีระธิกุล จบการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาโลจิสติกส์ จาก Imperial College London ประเทศอังกฤษ และจบหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต รุ่นที่ 2 (วปอ.บอ.2) จากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) มีประสบการณ์ด้านการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์มากกว่า 10 ปี เคยดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และอดีตประธานสหพันธ์การขนส่งทางรถบรรทุกแห่งอาเซียน ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่ง รองประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา, อุปนายกสมาคมโลจิสติกส์และขนส่งภาคใต้ และได้รับเชิญเป็นวิทยากรในประเด็นด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ยุคดิจิทัลในหลากหลายเวที