เมื่อตอนเปิดเทศกาลนวัตศิลป์นานาชาติ 2560 หรือ International Innovative Craft Fair 2017 (IICF 2017) จัดโดย ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (ศศป.-SACICT) ผมเขียนไว้ว่า นี่คืองานชุมนุมหัตถศิลป์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยและงานนี้กำลังจะกลายเป็นงานชุมนุมหัตถศิลป์อาเซียน เพราะทุกปีมีกลุ่มผู้ผลิตงานหัตถศิลป์จากในและนอกกลุ่มอาเซียนมาร่วมงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
เริ่มต้นไปแล้วก็ขอตบท้ายด้วยผลของงานที่สิ้นสุดไป ซึ่งจากถ้อยแถลงของคุณอัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการ ศศป.สรุปได้ว่า การจัดงาน ระหว่าง 23-26 มีนาคมที่ผ่านมาประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ มีกระแสตอบรับที่ดีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการเก็บข้อมูลสถิติผู้ที่เข้าชมงานมีจำนวนผู้ที่เข้าชมงานตลอดเวลา 4 วันกว่า 20,774 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 73.12% มีสมาชิกผู้ผลิตงานศิลปหัตถกรรมทั่วประเทศกว่า 350 รายมาร่วมออกร้าน มียอดจำหน่ายงานฝีมือกว่า 44 ล้านบาทเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีก่อน 21%
โดยแบ่งเป็นยอดการจัดจำหน่ายในงาน 22,188,830 บาท และยอดสั่งซื้อ 22,518,830 บาท รวมมูลค่า 44,713,711บาท ผลิตภัณฑ์ที่มียอดการสั่งซื้อสูงสุดคือ ผลิตภัณฑ์ประเภทงานจักสาน เช่น ไม้ไผ่ กระจูด หวาย ซึ่งในปีนี้มีต่างชาติให้ความสนใจสั่งซื้องานฝีมือกลับประเทศจำนวนมาก อาทิ อินโดนีเซีย สั่งซื้องานฝีมือผลิตภัณฑ์ไม้ไผ่จากจังหวัดเพชรบุรีรวมมูลค่า 17 ล้านบาท และงานจักสานตอกไม้ไผ่จากกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ รับคำสั่งซื้อจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลางอีกกว่า 3 ล้านบาท
ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงานเรียงตามลำดับความนิยมสูง ได้แก่ ประเภทงานผ้า 51.9% งานเครื่องปั้น-เซรามิก 43.1% งานศิลปะประดิษฐ์ 42% งานไม้ 38.8% งานจักสาน 33.9% งานเครื่องหนัง 30.9% งานจิวเวลรี่ (โลหะ/ทอง) 19.6% และอื่นๆ
ผอ.อัมพวัน กล่าวว่า “กิจกรรมในปีนี้สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการอย่างครบถ้วน ทั้งกลุ่มคนรักงานศิลป์ ที่สามารถชวนให้ผู้เข้าชมงานได้ร่วมคิด ร่วมประดิษฐ์ ร่วมชมผลงาน ลงมือทำ เป็นการจุดประกายและแรงบันดาลใจงานฝีมือให้แก่สังคม พร้อมกันนี้ ยังเป็นงานสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนสมาชิกงานศิลปหัตถกรรมของไทยและต่างชาติให้มีโอกาสเชื่อมโยงการตลาด ได้แลกเปลี่ยนไอเดีย เจรจาธุรกิจร่วมกัน แสดงให้เห็นว่านอกจากจะเป็นกิจกรรมสำคัญที่สร้างความสุขทางใจแล้ว ยังก่อให้เกิดรายได้กับกลุ่มผู้ประกอบการงานฝีมือจากภูมิปัญญาที่ผสมผสานนวัตกรรมความร่วมสมัย นำรายได้กลับสู่ชุมชนท้องถิ่นทั่วไทย ช่วยสร้างกำลังใจให้เกิดการต่อยอด พัฒนาผลงานฝีมือได้อย่างต่อเนื่อง”
ขอปิดท้ายด้วยข้อมูลที่เป็นมูลค่าการส่งออกสินค้าหัตถศิลป์ของไทยในปีที่ผ่านมาที่ ศศป.รวบรวมเอาไว้ ซึ่งเราส่งออกสินค้าหัตถศิลป์เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 59,245.97 ล้านบาท กลุ่มที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุดคือ เครื่องเงิน-ทอง 44,198.33 ล้านบาท รองลงมาคือกลุ่มผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือ มูลค่าส่งออก 7,520.51 ล้านบาท ตามด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์หัตถกรรม มูลค่าส่งออก 6,639.04 ล้านบาท และกลุ่มผลิตภัณฑ์เซรามิก มูลค่าส่งออก 888.09 ล้านบาท
ตลาดที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง และเยอรมนี มีสัดส่วนการส่งออกรวมกันสูงถึง 41.72 % ในขณะที่จีนเป็นตลาดที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุด 30.23 % โดยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องเงิน-ทองและกลุ่มผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือ กลุ่มผลิตภัณฑ์หัตถกรรม และกลุ่มผลิตภัณฑ์เซรามิก รองลงมาเป็นตลาดเวียดนาม มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น 14.22 % ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือ และกลุ่มผลิตภัณฑ์หัตถกรรม และ อีกตลาดคือลิกเตนสไตน์เพิ่มขึ้น 8.16 % ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องเงิน-ทอง
สำหรับกลุ่มอาเซียนตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่สิงคโปร์ เวียดนาม เมียนมาร์ และมาเลเซีย แม้จะมีสัดส่วนของมูลค่าการส่งออกรวมกันเพียง 6.69 % แต่ก็เป็นตลาดสำคัญของกลุ่มผ้าทอมือ และผลิตภัณฑ์หัตถกรรม
สรุปว่าตลาดหัตถศิลป์ของไทยกำลังโตวันโตคืน แม้ในช่วงที่โลกกำลังเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจชะลอตัว