ประเทศไทยมีแผนนโยบายชัดเจนที่จะมุ่งสู่อุตสาหกรรมที่มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ จากจุดเด่นนี้ทำให้ต่างชาติอยากเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมขั้นสูงที่มีการใช้เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตไทยมีความสามารถเชื่อมโยงกับผู้ผลิตที่ต้องการมาลงทุนได้เป็นอย่างดี ประเทศไทยจึงได้รับการยอมรับจากบริษัทชั้นนำของโลกในการเลือกให้เป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายอันดับต้นๆในการจัดซื้อและจัดหาชิ้นส่วนอุตสาหกรรมที่คุณภาพสูง ด้วยปัจจัยบวกเหล่านี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่งานซับคอนไทยแลนด์ และงาน อินเตอร์แมค 2017 จะจัดขึ้นอีกครั้งระหว่างวันที่ 17 ถึงที่ 20 พฤษภาคม 2560 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า จากความพร้อมทั้งทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายรัฐบาลภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่มุ่งเน้นการสร้างและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมขั้นสูงและสามารถเชื่อมโยงไปยังอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตได้
"อุตสาหกรรมรับช่วงการผลิต สามารถสร้างมูลค่าให้กับประเทศเป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาทต่อปี และส่วนใหญ่ผู้ประกอบการนั้นเป็นระดับเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตของเศรษฐกิจไทยดังนั้นเราจึงมีแผนที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิต ทั้งการจับคู่ธุรกิจ การส่งเสริมการออกงาน และการสนับสนุนให้เกิดการต่อยอดธุรกิจจากการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ จากแผนงานที่จะสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางในรับช่วงการผลิตในภูมิภาค ทางบีโอไอจึงได้ร่วมกับ บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด และ สมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย จัดงานซับคอนไทยแลนด์ขึ้นในไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อต้องการสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการในการเข้าถึงผู้ผลิตระดับโลก"
หิรัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า งานซับคอนไทยแลนด์จะมีกิจกรรมการจับคู่ธุรกิจและเชื่อมโยงอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เพื่อเปิดโอกาสให้แก่ผู้ประกอบการรับช่วงการผลิต โดยเฉพาะผู้ผลิตชิ้นส่วนเอสเอ็มอีในการแสวงหาและสร้างพันธมิตรทางการค้า ส่งเสริมความร่วมมือทางธุรกิจ ตลอดจนสามารถขยายช่องทางการตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ทั้งนี้ รูปแบบการจัดประชุมเจรจาธุรกิจปีนี้จะมีความพิเศษและเข้มข้นในลักษณะรายบริษัท โดยจะมีการนัดหมายล่วงหน้าผ่านโปรแกรมนัดหมายเจรจาธุรกิจ (Pre-Arrange One-on-One Meeting) ซึ่งเปิดโอกาสให้สำหรับทั้งผู้ซื้อและผู้ขายลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เพื่อขอจัดทำนัดหมายได้ทั้งสองฝ่าย
โดยในงานซับคอนไทยแลนด์ในปีนี้ ได้มีการตั้งเป้าที่จะจับคู่ธุรกิจ6,000 คู่ และคาดว่าจะเกิดธุรกรรมทางธุรกิจมูลค่า ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท มากกว่าปีที่ผ่านมา(2016) ซึ่งยอดของการจับคู่ทางธุรกิจผ่านงานซับคอนไทยแลนด์ สามารถจับคู่ทางธุรกิจได้ถึง 5,216 คู่ ก่อให้เกิดธุรกรรมกว่า 8.6 พันล้านบาท สำหรับภายในงานปีนี้จะมีผู้ผลิตชิ้นส่วนร่วม 350 รายจากทั้งประเทศไทยและต่างประเทศ ทั้งจากเอเชีย อาทิ ไต้หวันและญี่ปุ่น และภูมิภาคอื่น ๆ เข้าร่วมจัดแสดง และคาดการณ์จะมีผู้ซื้อจากทั่วโลกกว่า 24,000 ราย เข้าร่วมงานนี้